วันที่ 12 กรกฎาคม 2560 เว็บไซต์มิเรอร์ มีรายงานเรื่องราวคดีฉ้อโกงหลังจากที่ นางอราฟา นาสซิบ วัย 48 ปี ได้วางแผนร่วมกันกับ นายอาดิล คาซิม วัย 18 ปี ลูกชายของเธอ ในการปลอมแปลงใบมรณะบัตร อ้างว่าตัวเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนขณะเดินทางไปยังประเทศแทนซาเนีย ทั้งนี้เพื่อจะเรียกร้องเอาเงินประกันชีวิตจำนวน 136,530 ปอนด์ (ราว 6 ล้านบาท) จากบริษัทประกันในประเทศสกอตแลนด์
สำหรับเหตุทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนปี 2559 ตอนนั้นนางอราฟา อดีตผู้ลี้ภัยจากซโมาเลีย ได้เดินทางไปเยี่ยมญาติ ๆ ในแคมป์ผู้อพยพที่แทนซาเนีย จากนั้นเธอก็วางแผนให้คนรู้จักจัดหาใบมรณะบัตรมาให้ ระบุข้อมูลว่าเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในวันที่ 14 เมษายน 2559 ก่อนจะให้ลูกชายซึ่งอยู่ในสกอตแลนด์ส่งจดหมายเรียกร้องเงินประกันพร้อมเอกสารใบมรณบัตรไปยังบริษัทประกันภัย ในวันที่ 6 พฤษภาคม
ในวันเดียวกันนั้นนางอราฟายังได้นั่งเครื่องบินมายังเมืองเบอร์มิงแฮม ในประเทศอังกฤษ โดยยังมีการโทรศัพท์ติดต่อกับลูกชายอีกหลายสาย ก่อนจะรีบเดินทางออกไปยังเมืองออตตาวา ประเทศแคนาดา เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ และหวังว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทางบริษัทประกันชีวิตได้รับเรื่องจากลูกชายของนางอราฟา ก็ได้ดำเนินการตรวจสอบเอกสารจนพบพิรุธบางอย่าง จึงได้ส่งเรื่องให้ทางตำรวจเข้ามาสอบสวน ซึ่งจากการตรวจสอบไปยังแทนซาเนีย ก็ได้รับรายงานว่าไม่มีอุบัติเหตุตามที่ถูกกล่าวอ้าง ไม่มีการนำศพผู้เสียชีวิตไปฝังตามจุดที่กำหนด อีกทั้งใบมรณะบัตรยังไม่สามารถออกได้จากโรงพยาบาลโดยตรง ด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่พบทำให้ทางตำรวจได้ข้อสรุปว่า เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงการจัดฉากเพื่อจะหลอกเอาเงินประกันชีวิตเท่านั้น และได้จับกุมตัวนายอาดิลในวันที่ 22 ธันวาคม 2559
หลังจากการจับกุม นายอาดิลก็ยอมรับสารภาพว่ากุเรื่องทั้งหมดขึ้น และแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ดีที่ต่างแดน ทางตำรวจจึงมีการติดตามตัวหานางอราฟาจนพบ พร้อมแจ้งให้เธอยินยอมกลับมามอบตัวแต่โดยดี ด้วยเหตุนี้นางอราฟาจึงได้ยอมนั่งเครื่องบินกลับมาสหราชอาณาจักรและถูกจับกุมตัวในที่สุด เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560
ทั้งนี้จากการพิจารณาคดีนางอราฟาจะต้องรับโทษจำคุกเป็นเวลานาน 2 ปีครึ่ง ในข้อหาฉ้อโกง โดยจะถูกส่งตัวเข้าเรือนจำในเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะที่นายอาดิลผู้เป็นลูกได้รับการผ่อนปรนโทษ เหลือเพียงถูกควบคุมตัวในสถานพินิจ 1 ปี และเข้ากิจกรรมฟื้นฟู 10 วัน โดยทางศาลเชื่อว่าผู้เป็นลูกชายน่าจะทำเรื่องทั้งหมดภายใต้นำแนะนำของผู้เป็นแม่ และดูไม่มีความเสี่ยงที่จะกระทำผิดซ้ำ