ใครๆ ก็ไม่รักทรัมป์ วิเคราะห์ท่าจับมือระหว่างผู้นำ VS ผู้นำ กับความหมายเชิงสัญลักษณ์!

สื่อมวลชนทั้งยุโรปและในอเมริกาจับสังเกตว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ วัย 71 ปี มักแสดงท่าทางมีอำนาจเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม ด้วยการดึงอีกฝ่ายเข้ามาหาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการจับมือในหลายๆ โอกาสกับนายไมก์ เพนซ์ รองประธานาธิบดี หรือการจับมือที่ทำให้นายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นทำหน้าไม่ถูก

กระทั่งมาถึงนายจัสติน ทรูโด ผู้นำหนุ่มแคนาดาทำได้ดีกับการจับมือของทรัมป์ ด้วยการวางมือในตำแหน่งเหนือกว่า รูปแบบดังกล่าวกลายเป็นแรงบันดาลใจให้นายเอ็มมานูเอล มาครง วัย 39 ปี ผู้นำรุ่นเดียวกับนายทรูโด วัย 45 ปี ตัวแทนของผู้นำยุคที่ต้องคิดใหม่ทำใหม่

การจับมือระหว่างนายทรัมป์กับนายมาครง เป็นไปอย่างขึงขังภายใต้รอยยิ้มเจื่อน ผู้นำฝรั่งเศสจับมือแน่นบ่งบอกถึงการไม่ยอมอ่อนข้อ ฝ่ายนายทรัมป์พยายามถอนมือออกแต่ไม่สำเร็จในจังหวะแรก
นอกจากนี้ในอีกช่วงหนึ่ง ตอนที่นายมาครงเดินเข้าไปยังกลุ่มผู้นำนาโต้ ผู้นำหนุ่มของฝรั่งเศสเลือกจับมือกับผู้นำอื่นๆ ก่อน จะหันมาจับมือนายทรัมป์ ซึ่งครั้งนี้นายทรัมป์พยายามดึงนายมาครงเข้าไปใกล้ แต่นายมาครงยังคงรั้งตัวไว้ได้

หลังจากเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง นายมาครงกล่าวว่า การจับมือของตนไม่ใช่เรื่องไร้เดียงสา ไม่ใช่การจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของนโยบายระหว่างกัน แต่เป็นช่วงจังหวะแห่งความจริง

"ผมไม่คิดจะใช้การทูตข่มให้เห็นในที่สาธารณะ แต่เวลาคุยกันแบบทวิภาคี ผมจะไม่ยอมเลยตามเลย คุณต้องแสดงให้เห็นว่าคุณจะไม่ยอมให้เล็กๆน้อยๆ แม้แต่การแสดงเชิงสัญลักษณ์" นายมาครงกล่าว
วันเดียวกัน บีบีซีรายงานว่า นางแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีหญิงแห่งเยอรมนี ผู้ทรงอิทธิพลโลก ก็แสดงท่าทีว่าจะไม่พึ่งพาสหรัฐในยุคนายทรัมป์อีก

นางแมร์เคิลกล่าว ระหว่างการประชุมพรรคคริสเตียนเดโมแครต โดยไม่ได้เอ่ยชื่อนายทรัมป์ ว่ายุโรปต้องจัดการชะตากรรมด้วยมือของตนเอง

ขณะเดียวกันนางแมร์เคิลส่งสัญญาณว่าจะจับมือกับฝรั่งเศส ให้ยุโรปแกร่งขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งบารมีสหรัฐ ว่า "อะไรที่เยอรมนีช่วยได้ เยอรมนีก็จะช่วย เพราะเยอรมนีจะไปได้ดีหากยุโรปก้าวไปในทิศทางที่ดี"

ทั้งนี้เยอรมนีและฝรั่งเศสเป็นคู่ค้าที่สำคัญระหว่างกัน ซึ่งผู้นำของฝรั่งเศสหวังว่าจะจับกับรัฐบาลเยอรมนีเพื่อเป็นหัวขบวนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจยุโรป