ยูเอ็นวอนอินโดฯ อย่าประหารนักโทษค้ายาเสพติด

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ว่านายมูฮัมหมัด ปราเซตโย อัยการสูงสุดของอินโดนีเซีย แถลงเมื่อวันพุธ เรื่องการเตรียมประหารชีวิตผู้ต้องหาในคดีค้ายาเสพติด 14 คน โดยในจำนวนนี้มีพลเมืองของไนจีเรีย ซิมบับเว และปากีสถานรวมอยู่ด้วย "ภายในสุดสัปดาห์นี้" โดยเจ้าหน้าที่ทยอยนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปแยกขังเดี่ยวที่แดนประหารบนเกาะนูซากัมบังงัน นอกชายฝั่งของเกาะชวาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยบนเกาะเป็นขั้นสูงสุด ซึ่งรวมถึงการงดต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นการชั่วคราว

ปราเซตโยยืนยันว่าการประหารชีวิตที่จะใช้การยิงเป้าอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายอินโดนีเซีย โดยจะไม่มีการชะลอเวลาหรือยกเลิกกำหนดการอีก เนื่องจากกระบวนการไต่สวนผู้ต้องหาแต่ละคนใช้เวลานานมากพอแล้ว และรัฐบาลได้มอบ "โอกาส" ให้แก่กลุ่มผู้ต้องหาแล้วอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกฎหมายปราบปรามยาเสพติดรุนแรงที่สุดในโลก แม้ครอบครองเพียงปริมาณน้อยก็อาจมีโทษถึงประหารชีวิต

อย่างไรก็ตาม สำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ( โอเอชซีเอชอาร์ ) ออกแถลงการณ์แสดง "ความวิตกกังวลอย่างยิ่ง" ต่อความเคลื่อนไหวล่าสุดของอินโดนีเซียในการประหารชีวิต เนื่องจากขั้นตอนการไต่สวนยังขาดความโปร่งใสและไม่เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนซึ่งผู้ต้องหาต้องได้รับการไต่สวนอย่างยุติธรรม และมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ จึงขอให้ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ระงับหรือชะลอการประหารชีวิตนักโทษกลุ่มนี้ออกไปก่อน ขณะที่สหภาพยุโรป ( อียู ) และองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งร่วมออกแถลงการณ์ด้วยว่า การประหารชีวิตเป็นสิ่งที่โหดร้าย ละเมิดศักดิ์ศรีและเกียรติยศของความเป็นมนุษย์

นับตั้งแต่วิโดโดรับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2557 อินโดนีเซียประหารชีวิตนักโทษในคดีค้ายาเสพติดไปแล้ว 14 คน โดยทั้งหมดเข้ารับการประหารชีวิตเมื่อปีที่แล้ว เรียกเสียงประณามอย่างหนักจากนานาชาติ และผู้นำอินโดนีเซียยังอนุมัติกฎหมายฉบับใหม่เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ให้ผู้ก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศอย่างรุนแรงต่อผู้เยาว์ และผู้ต้องหาที่มีประวัติก่อคดีข่มขืนกระทำชำเรามากกว่า 1 ครั้ง อาจรับโทษประหารชีวิต