พ่อแม่ชาวจีนแห่ทำเด็กหลอดแก้วในไทย

หลังจากที่นโยบายลูกคนที่สองของจีนเริ่มบังคับใช้ก็มีคู่สามีภรรยาจีนที่อายุเยอะหลายคนที่อยากมีลูกแต่ต้องพบกับปัญหาการท้องแต่สุขภาพไม่เอื้ออำนวย ดังนั้นมีคนจีนส่วนหนึ่งที่สนใจมาใช้บริการทำ “เด็กหลอดแก้ว” หรือ IVF ที่ประเทศไทย

เมื่อไม่กี่วันมานี้ นักข่าวจีนได้ไปเยือนโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจำนวน 40 โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลของไทยที่มีบริการดังกล่าวเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการทำเด็กหลอดแก้ว โดยพบว่าในบรรดาผู้หญิงที่มาเข้ารับบริการ 8 ใน 10 คือหญิงชาวจีน

หมอคนหนึ่งของโรงพยาบาลแห่งนี้บอกกับนักข่าวว่าที่จริงแล้วก่อนที่จีนจะมีนโยบายลูกสองคน โรงพยาบาลแห่งนี้ก็มีลูกค้าชาวจีนสูงถึงมากกว่าร้อยละ 70 คิดคร่าวๆตกวันละ 200 คน ที่ทั้งเข้ามาสอบถามและมารับการรักษาและมีตั้งแต่อายุ 25-55 ปี

เหตุใดคนจีนจึงนิยมมาทำเด็กหลอดแก้วในโรงพยาบาลไทย？

ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้กล่าวกับนักข่าวว่าว่าสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะว่าอัตราการประสบความสำเร็จของการทำเด็กหลอดแก้วของไทยนั้นค่อนข้างสูง(ประมาณร้อยละ 60)ซึ่งถือว่าสูงกว่าหลายๆประเทศในเอเชียและยังมีค่าใช้จ่ายที่ไม่แพงมาก เด็กหลอดแก้วคนแรกของไทยเกิดเมื่อปี 1989 ซึ่งหมายความว่าเทคโนโลยีด้านการทำเด็กหลอดแก้วของไทยได้พัฒนามา 20 กว่าปีแล้วอีกทั้งหมอไทยก็ยังได้ไปดูงานและแลกเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์กับแพทย์ต่างประเทศอยู่บ่อยๆ

นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการบริการที่มีคุณภาพของไทย ชาวไทยเชื้อสายจีนที่พบได้ทั่วไป ทำให้คนจีนรู้สึกสบายใจเมื่อมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีชาวจีนไม่น้อยที่มาทำเด็กหลอดแก้วที่ไทยเพราะว่าสามารถเลือกเพศได้

นายแพทย์คนดังกล่าวผู้ไม่ประสงค์ออกนามกล่าวว่าปกติแล้วการฝังตัวอ่อนของหญิงวัย25-28นั้นจะประสบความสำเร็จสูงถึง ร้อยละ75

นายอาคม ประดิษฐ์สุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพกล่าวว่า “รัฐบาลไทยเคร่งครัดในเรื่องการตรวจสอบสถานพยาบาลและโรงพยาบาล อีกทั้งเทคนิคการผสมเทียมของไทยก็ถือว่าสูงกว่าที่อื่นๆในอาเซียน”

ในขณะที่ที่ปรึกษาด้านกฎหมายขององค์กรดังกล่าวกล่าวว่า ถึงแม้ว่าสังคมไทยจะเป็นสังคมที่ค่อนข้างอะลุ่มอะล่วย แต่ไม่ได้หมายความว่ากฏหมายของไทยจะไม่เคร่งครัด เพราะการทำหลอดแก้วนั้นเป็นเรื่องถูกกฏหมายในไทย แต่ทางสถานพยาบาลจะให้บริการกับคู่สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายเท่านั้น

นอกจากนี้กฏหมายไทยยังห้ามตรวจสอบเพศของเด็กในครรภ์ของมารดา และห้ามมิให้มีการซื้อขายไข่อีกด้วย เพราะหากมีการตรวจสอบพบว่ามีแพทย์ที่ละเมิดกฎหมายดังกล่าว แพทย์ผู้ทำความผิดอาจจะต้องถูกปรับหรือยึดใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม และถ้าหากสถานพยาบาลรู้เห็นแต่ไม่รายงานก็จะต้องรับโทษตามกฏหมายด้วยเช่นกัน