สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยเมื่อวันที่ 14 เมษายนว่า เศรษฐกิจโลกยังคงเฉื่อยชาจากการชะลอตัวในเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายแห่ง ที่บดบังพัฒนาการในทางที่ดีของญี่ปุ่นและยุโรป และในขณะที่การร่วงลงของราคาน้ำมันส่งผลในทางบวกเป็นส่วนใหญ่ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยภาพรวม แต่ไอเอ็มเอฟเตือนว่า ความผันผวนของค่าเงินและตลาดทุน วิกฤตด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการลงทุนและการปฏิรูปที่ไม่เพียงพอสำหรับอนาคต อาจเป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจโลกให้ถอยหลังได้
ในรายงานภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ออกทุกครึ่งปี ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะโต 3.5 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 3.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี 2557 และจะโต 3.8 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้า ซึ่งเป็นระดับเดียวกับการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ทว่ามีการปรับคาดการณ์ในทางบวกมากขึ้นสำหรับญี่ปุ่นและยุโรป และปรับลดประมาณการสำหรับสหรัฐอเมริกาลง โดยนายโอลิวิเยร์ บลองชาร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟบอกว่า เขตเศรษฐกิจทั้ง 3 แห่งยังคงพยายามที่จะหลุดพ้นจากวิกฤตการเงินปี 2551 โดยสิ่งที่หลงเหลือมาจากวิกฤตการเงินครั้งนั้นและวิกฤตเงินยูโรยังคงเห็นได้อย่างชัดเจนในเขตเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วหลายแห่ง นอกจากนี้ เขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วยังประสบปัญหา "ศักยภาพการเติบโต" ที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพสังคมสูงอายุและการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในอนาคต
ไอเอ็มเอฟระบุว่า สหรัฐยังคงเป็นผู้ผลักดันการเติบโตของโลก ในปี 2558 - 2559 แม้ว่าจะปรับลดประมาณการเติบโตของสหรัฐลงเหลือ 3.1 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่สำหรับประเทศเศรษฐกิจใหม่แล้ว ปี 2558 จะเป็นปีที่มีการเติบโตชะลอตัวลงเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน โดยจีนจะโตแค่ 6.8 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้และเหลือ 6.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2559 ทำให้ประเทศอื่นที่ต้องพึ่งพาการส่งออกไปจีนจะเผชิญความอ่อนแอต่อไป
เช่นเดียวกับประเทศผู้ส่งออกน้ำมันที่ยังคงมีปัญหาปริมาณการผลิตมากเกินกว่าความต้องการ ทว่า ไอเอ็มเอฟระบุว่า ราคาน้ำมันที่ถูกลงอาจทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นมากถึงเกือบ 1 เปอร์เซ็นต์
กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
กระทู้ล่าสุด
รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
