สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 23 ส.ค. อ้างการสัมภาษณ์หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายองค์กรสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนซีเรีย ( เอสโอเอชอาร์ ) ซึ่งเผยตัวว่าชื่อ อาบู อิบราฮิม อัล รากาอี บอกเล่าภารกิจลับของหน่วยรบพิเศษของกองทัพสหรัฐ หรือหน่วยซีล ซึ่งเดินทางไปยังเมืองรักกา ทางตะวันออกของซีเรีย เมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือตัวประกันชาวอเมริกันหลายคนจากการกักขังของกลุ่มรัฐอิสลาม ( ไอเอส ) หนึ่งในนั้นคือนายเจมส์ โฟลีย์ ผู้สื่อข่าววัย 40 ปี
รากาอีกล่าวว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 4 ก.ค. โดยก่อนหน้านั้นเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮออว์กที่เชื่อว่าเป็นของกองทัพสหรัฐระดมทิ้งระเบิดทำลายอาวุธต่อสู้อากาศยานจำนวนหนึ่งของกลุ่มไอเอส ภายในฐานทัพซึ่งตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองรักกาไปทางทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 5 กิโลเมตร
หลังจากนั้นเมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอด ทหารจำนวนหนึ่งทำการปิดถนนสายหลักเข้า-ออกเมืองรักกา ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งเดินทางไปยังเรือนจำชั่วคราว ซึ่งเชื่อว่าเป็นสถานที่คุมขังโฟลีย์และตัวประกันอีกหลายคน ทว่ากลับไม่พบแม่แต่คนเดียว ทหารกลุ่มนั้นจึงบุกโจมตีฐานทัพที่อยู่ใกล้กัน ซึ่งกลุ่มไอเอสตั้งชื่อว่า "บิน ลาเดน" แล้วสังหารนักรบได้จำนวนหนึ่งก่อนจุดไฟเผาทำลายสถานที่ อย่างไรก็ตาม ผลจากการต่อสู้ทำให้ทหารอเมริกัน 1-2 นายได้รับบาดเจ็บด้วย
ขณะที่แหล่งข่าวในซีเรียซึ่งใกล้ชิดกับกลุ่มไอเอสเผยเพิ่มเติมว่า กลุ่มหัวรุนแรงเริ่มไหวตัวเรื่องภารกิจของสหรัฐ เมื่อพบชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งแวะเวียนมาสนทนาและสอบถามเรื่องการจับตัวประกันชาวตะวันตก กับชาวตุรกีในเมืองอันตักยา ตั้งอยู่ห่างจากพรมแดนซีเรียราว 20 กิโลเมตร เมื่อช่วงเดือนมิ.ย.
มีรายงานด้วยว่า รากาอีบรรยายเรื่องราทั้งหมดนี้บนเฟซบุ๊คด้วย ก่อนที่บัญชีจะถูกระงับไป โดยรอยเตอร์สไม่มีข้อมูลว่า รากาอีเป็นผู้ระงับเองหรือเป็นการกระทำโดยบุคคลอื่น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นความจริงจะถือเป็นภารกิจทางทหารครั้งแรกของสหรัฐบนแผ่นดินซีเรีย นับตั้งแต่เกิดสงครามกลางเมืองเมื่อเดือนมี.ค. 2554 ทว่าการคว้าน้ำเหลวของหน่วยซีล สะท้อนให้เห็นถึงความผิดพลาดของหน่วยข่าวกรองสหรัฐ เรื่องการระบุตำแหน่งสถานที่คุมขังโฟลีย์เช่นกัน