เว็บไซต์หนังสือพิมพ์อังกฤษ “ดิ อินดีเพนเดนท์” รายงานจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ว่า
นายเคนเนธ ดักลาส วัย 60 ปี เคยทำงานเป็นสัปเหร่อประจำที่เก็บศพของเขตฮามิลตัน เคาท์ตี้ รัฐโอไฮโอของสหรัฐ ระหว่างปี 2519-2535 รับสารภาพเคยก่อเหตุข่มขืนศพหญิงสาวในช่วงกลางคืนซึ่งเป็นเวลาที่เขาทำงาน โดยในปี 2534และ 2535 นายดักลาสข่มขืนศพหญิงสาวที่ถูกฆาตกรรมทั้งสิ้น 2 ศพ และยอมรับกับตำรวจว่า ในช่วงเวลา 16 ปี ที่ทำงานในที่เก็บศพนั้น ข่มขืนศพมาแล้วมากกว่า 100 ศพ
นายดักลาสอธิบายกับศาลว่า เขาขึ้นคร่อมศพจากนั้นก็ดึงกางเกงตัวเองลงเพื่อมีเพศสัมพันธ์ด้วย
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเกิดกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา หลังจากที่ครอบครัวของศพผู้เสียชีวิตที่ถูกข่มขืนโวยว่าจะยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลรัฐบาลกลางฟ้องร้องเขตฮามิลตัน เคาท์ตี้ ที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เนื่องจากพวกเขามีหลักฐานว่า ผู้บังคับบัญชาของนายดักลาสในขณะนั้น ทราบเรื่องที่เขามักจะดื่มสุราจนเมามายและมีเพศสัมพันธ์กับศพ ทั้งนี้ ภรรยาของนายดักลาสให้ปากคำในชั้นศาลว่า เธอเคยแจ้งเรื่องที่เธอสงสัยว่า สามีมีเพศสัมพันธ์กับศพแล้วแต่เจ้าหน้าที่เขตฮามิลตัน เคาท์ตี้กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องภายในของเขตเอง
กรณีที่นายดักลาสข่มขืนศพนั้น ถูกเปิดโปงในปี 2551และทำให้เขาถูกจำคุกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เนื่องจากเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพพบคราบน้ำอสุจิของเขาบนศพเหยื่อฆาตกรรม “คาเรน เรนจ์” วัย 19 ปี ที่ถูกพนักงานขายสังหาร โดยฆาตกรรับสารภาพว่า เขาสังหารเธอจริงแต่ไม่ได้ข่มขืนเธอ นำไปสู่การสอบสวนพิสูจน์ความจริงที่ทำให้รู้ว่า นายดักลาสซึ่งเป็นสัปเหร่อเป็นผู้ลงมือข่มขืนศพ ทั้งนี้ ศาลยังคงไต่สวนความผิดของเขาและจะพิจารณาลงโทษต่อไป
อย่างไรก็ตาม ศพของนางสาวเรนจ์ เป็นศพที่ถูกสัหารโดยการตัดศีรษะจนเกือบขาด ส่วนศพอื่นๆที่นายดักลาสเคยมีเพศสัมพันธ์ด้วยนั้น มีทั้งศพคนกระโดดตึก 3 ชั้นฆ่าตัวตายและหญิงวัย 23 ปี ผูกคอตายขณะที่ตั้งครรภ์ได้ 6 เดือน