ผบ.ทอ.มาเลเซียปัดข่าว กองทัพจับสัญญาณสุดท้าย MH370 ที่ช่องแคบมะละกา
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวรอบโลก ผบ.ทอ.มาเลเซียปัดข่าว กองทัพจับสัญญาณสุดท้าย MH370 ที่ช่องแคบมะละกา
ผู้บัญชาการกองทัพอากาศของมาเลเซีย ปฏิเสธรายงานข่าวที่ว่า กองทัพอากาศมาเลเซียสามารถจับสัญญาณสุดท้ายของเครื่องบินโบอิ้ง 777-200 เที่ยวบิน MH370 ได้ที่ช่องแคบมะละกา
พล.อ.ร็อดซาลี ดาอุด ออกแถลงการณ์วันนี้ (12 มี.ค.) ว่า กองทัพอากาศไม่ตัดความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนเส้นทางย้อนกลับมา ก่อนที่เครื่องบินลำนี้จะหายไปจากเรดาร์ และเรื่องนี้ส่งผลให้ขอบเขตของปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยถูกขยายออกไป ที่บริเวณใกล้เคียงน่านน้ำ ชายฝั่งทางตะวันตกของมาเลเซีย แต่ ผบ.ทอ.ปฏิเสธรายงานของสื่อมาเลเซีย ที่รายงานเมื่อวันอังคาร โดยอ้างคำพูดของเขาว่า เรดาร์ของกองทัพสามารถจับสัญญาณสุดท้ายของเที่ยวบิน MH370 ได้เหนือช่องแคบมะละกาทางตะวันตกของมาเลเซีย ซึ่งห่างจากเส้นทางการบินในทะเลจีนใต้ที่มันควรจะอยู่มาก ผบ.ทอ.ระบุว่าเขาไม่ได้มีแถลงการณ์อย่างนั้น พร้อมกล่าวด้วยว่า หนังสือพิมพ์ เบริตา ฮาเรียน เผยแพร่ข่าวที่ไม่ถูกต้องและไม่ตรงกับความเป็นจริง
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า กองทัพอากาศมาเลเซียยืนยันผลการตรวจสอบเรดาร์ระบุว่า เครื่องบินโดยสารมาเลเซียแอร์ไลน์ส ที่ยังคงหายสาบสูญ เปลี่ยนเส้นทางบินไปทางทิศตะวันตกอย่างกะทันหัน ก่อนหายไปอย่างลึกลับไร้ร่องรอย
สำหรับประเด็นผู้โดยสาร 2 คนที่ใช้หนังสือเดินทางปลอมไปกับเที่ยวบันนี้นั้น ผลการสืบสวนพบว่า เป็นชาวอิหร่านและไม่เชื่อมโยงการก่อการร้ายและไม่มีประวัติการก่ออาชญากรรมแต่อย่างใดด้วย เดินทางออกจากอิหร่านโดยถูกต้องและมีความประสงค์เพียงไปหางานทำในเยอรมนี ตำรวจสากลระบุว่าทั้งคู่ออกเดินทางจากสนามบินกรุงโดฮาของกาตาร์ด้วยหนังสือเดินทางอิหร่าน ก่อนเปลี่ยนมาใช้หนังสือเดินทางของอิตาลีและและออสเตรเลียที่ถูกขโมยในการขึ้นเครื่องมาเลเซียแอร์ไลน์ไปสู่จุดจบที่ยังเป็นปริศนาจนกระทั่งบัดนี้
เรือ 40 ลำ เครื่องบิน 34 เครื่องจากออสเตรเลีย จีน ไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์ และสหรัฐ ยังเดินหน้าค้นหาซากเครื่องบินโดยสารมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH370 พร้อมกับ 239 ชีวิตบนเครื่องต่อไป แม้จะล่วงเข้าสู่วันที่ 5 และมีการขยายขอบเขตการค้นหาออกไปจากเดิม คราบน้ำมันและเศษชิ้นส่วนที่พบลอยอยู่กลางทะเลได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เกี่ยวข้อง และจนขณะนี้ยังไม่มีเบาะแสใดๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเครื่องบินลำดังกล่าว นอกจากข้อมูลเรดาร์กองทัพอากาสมาเลเซียระบุว่า เครื่องบินดังกล่าวเปลี่ยนเส้นทางบินไปทางตะวันตกก่อนจะหายไปจากจอเรดาร์ แม้จะไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างเป็นผู้ทำให้เครื่องบินหายไปอย่างลึกลับ แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ตัดประเด็นการก่อการร้ายออกไป
ก่อนหน้านี้ ตำรวจมาเลเซีย สามารถระบุตัวตนของหนึ่งในผู้ที่ใช้พาสปอร์ตปลอมได้แล้ว คือนายปอเรีย นูร์ โมฮัมหมัด เมห์ดัด ชาวอิหร่านวัย 19 ปี ส่วนชายอีกคนคนที่ใช้พาสปอร์ตปลอมในการเดินทาง และสันนิษฐานว่าเดินทางพร้อมกับนายเมห์ดัด ยังคงไม่ทราบชื่อ โดยกำลังอยู่ในระหว่างการสืบสวนรวมรวมข้อมูล ทั้งนี้ หนังสือเดินทางที่ถูกขโมยทั้งสองเล่ม เป็นของนายลุยจิ มารัลดิ ชาวอิตาลี อายุ 37 ปี และของนาย คริสเตียน โคเซล ชาวออสเตรีย อายุ 30 ปี ซึ่งหนังสือเดินทางสูญหายในประเทศไทยเมื่อปี 2012 และ 2013 ตามลำดับ และได้รับการยืนยันแล้วว่าทั้งสองคนไม่ได้โดยสารโบอิ้ง 777-200ER เที่ยวบิน MH370 แต่อย่างใด
สำหรับนายเมห์ดัด ทางการมาเลเซียตรวจสอบแล้วพบว่าเขาเพียงต้องการเดินทางไปยังเยอรมนีเพื่อขอสถานะผู้ลี้ภัย และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเป็นสมาชิกของกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มใด นอกจากนี้ยังมีชายชาวอิหร่านที่อาศัยอยู่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย ให้การว่าทั้งสองคนพักอยู่กับเขาก่อนจะเดินทางขึ้นเครื่องบินลำดังกล่าว และทั้งคู่วางแผนว่าจะอพยพไปตั้งรกรากในยุโรป