เมื่อ 16 ต.ค. เอเอฟพีรายงานสถานการณ์ภัยพิบัติทั่วภูมิภาคเอเชียว่า ไต้ฝุ่นวิภาโหมเข้าซัดชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น
คร่าชีวิตชาวบ้านทันทีอย่างน้อย 13 ราย และสูญหายอีกกว่า 50 ราย หลังอิทธิพลของพายุซึ่งขึ้นชื่อว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี ทำให้เกาะโอชิมะ ห่างจากกรุงโตเกียวไปทางใต้ราว 120 กิโลเมตร เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และดินโคลนถล่ม
สำนักข่าวเอ็นเอชเคระบุว่า กรมตำรวจนครบาลกรุงโตเกียวส่งเจ้าหน้าที่พิเศษ 50 นาย
ไปยังเกาะโอชิมะเพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือ และค้นหาผู้สูญหาย ซึ่งคาดว่าจะมีมากกว่า 50 ราย เนื่องจากอาคารบ้านเรือนหลายร้อยหลังถูกพายุพัดจนพังราบ ทั้งนี้ แม้ไต้ฝุ่นวิภาจะยังไม่พัดผ่านเข้าสู่กรุงโตเกียว แต่อิทธิพลของพายุทำให้เกิดลมกระโชกแรง และมีฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้องระงับเที่ยวบินทั้งขาเข้า-ขาออกจากกรุงโตเกียว ราว 400 เที่ยว ขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะแถลงปล่อยน้ำฝนที่กักขังอยู่ในเขื่อนกั้นน้ำปนเปื้อนรังสี โดยย้ำชัดว่า ปริมาณรังสีที่รั่วไหลอยู่ในค่าปลอดภัยตามกำหนด
ด้านความคืบหน้าเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.1 ริกเตอร์ทางตอนกลางของฟิลิปปินส์ มียอดผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 107 ราย และคาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสะพานและถนนถูกตัดขาด ทำให้หน่วยกู้ภัยเข้าไปลำบาก ทางสำนักงานจัดการและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งชาติเร่งให้ความช่วยเหลือ
ส่วนรัฐโอริสสา และอานธรประเทศ ทางตะวันออกของอินเดีย
ทางการเร่งส่งความช่วยเหลือด้านอาหาร ยารักษาโรค เสื้อผ้าให้ผู้ประสบภัยจากพายุไซโคลนไพลิน เมื่อ 13 ต.ค. ที่มีผู้เสียชีวิตแล้ว 23 ราย กระทบต่อประชาชนราว 12 ล้านคน รวมถึงลำเลียงผู้ประสบภัยออกจากพื้นที่วิกฤตมายังศูนย์พักพิงชั่วคราวเป็นการด่วน