แม่พาลูกพบพ่อ-ถามใครทิ้งใคร
"เห็นหน้าแล้วรีบไล่ไม่ยอมคุยด้วย"
สามแม่ลูกเผชิญหน้าพ่อเฒ่าอ้างถูกลูกพาทิ้งวัด แต่พ่อเฒ่ากลับออกปากไล่ไปให้พ้น ไม่ยอมตอบใครพาทิ้งวัด อดีตภรรยาเผยจากไปไม่เหลียวแล กลับก่อเหตุให้ลูกเดือดร้อน
ท้าเปิดมรดกที่ดินวัวควายที่อ้างยกให้อยู่ตรงไหน ลูกชายเผยชาวบ้านในหมู่บ้านโกรธแค้นที่พ่อกุเรื่อง ไม่ต้อนรับกลับด่านขุนทด ด้านตำรวจสอบปากคำเปิดปริศนา "ใครโกหก"
ความคืบหน้ากรณี นายชูชัย จันทร์ผาสุข อายุ 55 ปี บ้านเดิมอยู่ จ.พระนครศรีอยุธยา ป่วยด้วยโรคเบาหวานและเป็นอัมพฤกษ์ มาพักอาศัยที่วัดคุณหญิงส้มจีน หมู่ 14 ต.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เมื่อชาวบ้านสอบถามบอกว่าถูกลูกชายหลอกจากบ้านที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา นำมาทิ้งไว้ที่วัด สร้างความหดหู่ใจแก่ผู้ทราบข่าวทางสื่อมวลชนอย่างมาก แต่ต่อมา นายพิชาญ บุตรชายออกมาปฏิเสธ โดยบอกว่าพ่อทิ้งไปไม่เหลียวแลมานานกว่า 20 ปี แต่ยังไปตามหา พอพบกลับจะมาอยู่ด้วย ซึ่งญาติทางแม่ไม่ยอม และพร้อมจะพบหน้าพ่อเพื่อพิสูจน์ว่าใครที่บิดเบือนคำพูด ตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น
"สอบแม่ลูก"
ล่าสุด เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่หอผู้ป่วยศัลยกรรมชาย ชั้น 3 อาคารดุลโสภาคย์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ นางสมพร ภูมิโคกรัก อายุ 54 ปี นายพิชิต จันทร์ผาสุข อายุ 36 ปี และนายพิชาญ จันทร์ผาสุข อายุ 25 ปี ซึ่งเป็นอดีตภรรยาและลูกชายของนายชูชัย ได้มาเยี่ยมนายชูชัย ที่โรงพยาบาล
เมื่อนายชูชัยเห็นหน้าลูกชายทั้งสองคนและอดีตภรรยา ถึงกับมีอาการฉุนเฉียว พร้อมทั้งส่งเสียงไล่นางสมพรให้ออกไปให้พ้น ซึ่งนางสมพรพยายามถามนายชูชัยว่าใครเป็นคนนำตัวมาทิ้งที่วัดคุณหญิงส้มจีน นายชูชัยก็ไม่ยอมตอบ และเมื่อนางสมพรถามว่ามาอยู่ที่วัดได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ออกมาจากบ้านที่ อ.สีคิ้ว นานหลายเดือนแล้ว แต่นายชูชัยก็ไม่ยอมตอบคำถาม แต่กลับส่งเสียงไล่คนทั้งสามให้ออกไปตลอดเวลา จนในที่สุดนางสมพรและลูกๆ ต้องออกจากห้องไป
ต่อมา พ.ต.ท.วิเชียร เหมือนสุวรรณ สารวัตรเวรสอบสวน สภ.อ.คลองหลวง ได้เชิญสามแม่ลูกไปสอบปากคำ นางสมพร กล่าวว่า เดิมทำสวนทำไร่อยู่ที่ ต.หินดาด อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา และอยู่กินกับนายชูชัยเมื่อหลายสิบปีก่อน จนกระทั่งมีลูกชายด้วยกัน 2 คน คือ นายพิชิต และนายพิชาญ ต่อมาได้แยกทางกันเมื่อลูกชายคนเล็กอายุประมาณ 3-4 ขวบ หลังจากนั้นก็ทำงานคนเดียวหาเลี้ยงลูกมาตลอด โดยที่นายชูชัยไม่เคยมาดูแลหรือมาหาแม้แต่ครั้งเดียว กระทั่ง 6-7 ปีต่อมา ตนมีสามีใหม่และย้ายไปอยู่ด้วยกันที่ย่าน อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ช่วงที่ลูกๆ ยังเล็กได้ฝากตายายดูแลที่บ้านใน อ.ด่านขุนทด
"เลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวมาตลอด"
"ตอนนั้นไม่เห็นมีใครมาอ้างตัวเป็นพ่อ หรือมาเลี้ยงดูแต่อย่างใด ส่วนมรดกที่ดินที่อ้างว่ายกให้ลูกชายนั้น อยากรู้เหมือนกันว่ามีมรดกอยู่ตรงไหน ที่ดินที่ทำกินกันทุกวันนี้ก็เป็นที่ดินตกทอดจากพ่อแม่ของตน มีอยู่ราว 16 ไร่ ซึ่งใช้ทำกินร่วมกับน้าๆ โดยปลูกข้าวโพดมาตลอด ส่วนที่กล่าวหาลูกชายว่านำมาทิ้งในวัดนั้น ก็ไม่เป็นความจริง ที่มาวันนี้ก็เพื่อจะถามว่าพูดแบบนี้ได้อย่างไร และมาอยู่ที่วัดแห่งนั้นได้อย่างไร ใครเป็นคนพามา แต่เขากลับไม่ตอบและไล่ออกมา แค่นี้ก็น่าจะรู้ความจริงแล้วว่าใครโกหก" นางสมพร กล่าว
ด้านนายพิชิต ลูกชายคนโต กล่าวว่า ออกจากบ้านตั้งแต่เรียนจบชั้น ป.6 โดยเดินทางไปกับวงดนตรี และเล่นดนตรีเลี้ยงชีพมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนพ่อนั้นไม่เคยเจอกันนานมากแล้ว ส่วนตัวก็รู้สึกโกรธที่พ่อทิ้งไปตั้งแต่เล็ก เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อราวปี 2539 เมื่อญาติๆ ของพ่อแจ้งว่าป่วยหนักอยู่ที่อยุธยา ตนจึงพาน้องและแม่ไปเยี่ยม จากนั้นก็ไม่เคยเจออีกเลย จนกระทั่งมาเป็นข่าวทางสื่อมวลชน ก็รู้สึกตกใจและไม่เชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริงตามที่กล่าวอ้าง วันนี้ที่มาก็เพื่อขอรู้ความจริง แต่เมื่อมาเจอก็พอจะทราบแล้วว่าเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร แต่ไม่ขอพูดอีกแล้ว
นายพิชาญ ลูกชายคนเล็ก ที่ถูกกล่าวหาว่านำพ่อมาทิ้ง กล่าวยืนยันว่าไม่เคยนำพ่อมาทิ้ง ส่วนตัวขับรถไม่เป็นและไม่ได้มีรถกระบะใช้อย่างที่พ่อกล่าวอ้าง ความจริงคือ เมื่อช่วงน้ำท่วมหนัก พ่อมาหาบอกว่านายเจี๊ยบ หลานชาย ขับรถมาส่งที่ตัวอำเภอสีคิ้ว จากนั้นนั่งรถสองแถวมาที่บ้าน ซึ่งตนก็ต้อนรับดูแลตลอด อยู่ได้ประมาณ 1 เดือน จนกระทั่งปลายๆ เดือนตุลาคม พ่อบ่นอยากกลับอยุธยา จึงพามาส่งที่สถานีรถไฟ
"ชาวบ้านที่นั่นโกรธมาก"
จากนั้นก็ไม่เจอกันอีกเลย มารู้อีกทีก็เกิดเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าเอาพ่อไปทิ้งวัด ชาวบ้านในหมู่บ้านยืนยันได้ว่าไม่ใช่คนแบบนั้น ตอนนี้คนที่นั่นโกรธพ่อมาก ตอนแรกตนก็รู้สึกโกรธที่พ่อให้ร้ายแบบนี้ แต่มาคิดได้ว่า อย่างไรเสียเขาก็เป็นพ่อของเรา ส่วนเรื่องจะไปอาศัยอยู่ด้วยก็ไม่ว่า แต่ญาติพี่น้องของแม่คงไม่พอใจ ยิ่งมาทำแบบนี้ยิ่งโกรธกันมาก
"เมื่อไม่นานมานี้ ตอนที่พ่อกลับไปอยุธยา นายเจี๊ยบซึ่งเป็นหลานอยู่ที่อยุธยา โทรศัพท์มาขู่ว่า ถ้าไม่รับพ่อไปเลี้ยงจะเอาพ่อไปออกรายการทีวี ประจานว่าไม่เลี้ยงดูพ่อ ซึ่งไม่คิดว่าจะทำจริง กระทั่งมาเกิดเรื่องว่าผมเอาพ่อไปทิ้งวัด" นายพิชาญ กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.วิเชียร กล่าวว่า เบื้องต้นจะสอบปากคำทั้งสามคนไว้เป็นหลักฐานก่อน จากนั้นจะสอบสวนสืบสวนหาพยานแวดล้อม เพื่อดูว่าใครพูดจริงหรือโกหก ทั้งนี้ จะสอบสวนนายวิชาญเพิ่มเติมว่าเหตุเกิดขึ้นจริง หรือว่ามีใครสั่งให้พูด หรือทำแบบนี้ ซึ่งคงต้องใช้เวลาสักระยะความจริงทั้งหมดคงปรากฏออกมาในที่สุด