สลด! ป่วยเป็นโรคประหลาด-ขาบวมโตร่วม 100 โล
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ 22 กุมภาพันธ์ 2549 21:38 น.
สลด! พบสาวใหญ่ป่วยเป็นโรคประหลาด ขาบวมโตขนาดเท่าตัวคน ต้องทนแบกน้ำหนักขาข้างเดียวร่วม 100 โล เจ้าตัวคาดเกิดจากหมอผ่าตัดผิดพลาดเมื่อ 30 ปีก่อน แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัด สามีสุดที่รักมาตีจาก แต่ไม่ยอมย่อท้อ ขายกาแฟรถเข็นสู้ชีวิต แม้จะถูกบางคนรังเกียจ พ้อคงเป็นเวรกรรมที่ต้องชดใช้
วันนี้ (22 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายสมนึก สุขสำราญ อายุ 45 ปี กำนันตำบลปลายบาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ว่า มีลูกบ้านหญิงวัย 50 ปี รายหนึ่งป่วยเป็นโรคประหลาดขาขวาบวมเป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่เท่าตัวคน มีน้ำหนักเฉพาะขากว่า 90 กิโลกรัม และต้องทนทุกข์ทรมานแบกน้ำหนักของก้อนเนื้อดังกล่าวมานานกว่า 30 ปีแล้ว
ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบยังบ้านพักเลขที่ 6/1 หมู่ 3 ต.ปลายบาง พบว่าบ้านพักหลังดังกล่าวเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูงของนางแจ้ ตุ่มจู อายุ 50 ปี โดยนางแจ้ได้เปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับผู้สื่อข่าวฟังว่า แต่เดิมนั้นตนเองยังปกติดี ไม่ได้มีขาบวมใหญ่ประหลาดเท่านี้มาก่อนเลย แต่เริ่มมาป่วยเป็นโรคดังกล่าวเมื่อประมาณปี 2518 หลังจากที่ไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งหลังจากคลอดแล้วหมอของโรงพยาบาลก็มาบอกกับตนเองว่า ตนป่วยเป็นมะเร็งที่ปากมดลูก และจะต้องรีบทำการผ่าตัดรักษาเนื่องจากเป็นอันตราย หมอจึงได้ทำการผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออกไปข้างหนึ่ง หลังผ่าตัดมดลูกแล้วก็เริ่มมีอาการปวดและเจ็บในท้องมาโดยตลอด ซึ่งในตอนแรกตนก็คิดว่าอาการปวดน่าจะเป็นเพราะโรคมะเร็งตามที่หมอบอก ก็ไม่ได้คิดอะไร พอปวดก็กินยาแก้ปวดตามที่หมอให้มาเป็นประจำ จากนั้นก็เริ่มมีอาการปวดบวมมาจากที่ตาตุ่มเท้าขวาก่อนที่บวมและกลายเป็นก้อนเนื้อออกมาตั้งแต่นั้น ซึ่งนับวันก้อนเนื้อที่ขาก็เริ่มโตและใหญ่ขึ้น จนมีสภาพอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
นางแจ้ เล่าต่อว่า ในช่วงที่ตนเองเริ่มป่วยเป็นโรคประหลาดนั้น ตนได้เข้าไปถามหมอที่ทำการผ่าตัดตนว่าเป็นโรคอะไรหมอที่ผ่าตัดก็บอกว่าตนเองเป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งขั้นร้ายแรงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 23 ปี ก็ได้แต่กลับมานั่งคิดและทำใจ และก้อนเนื้อก็เริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้นอีก จนกระทั่งเวลาผ่านไป 45 ปี จึงกลับไปสอบถามหมอเดิม ว่าเป็นโรคอะไรกันแน่ แต่หมอที่รักษาก็บ่ายเบี่ยงอีก ด้วยความโมโหจึงคว้าเก้าอี้ทุ่มใส่หมอคนดังกล่าว ที่โกหกตนเองมาโดยตลอดและไม่กลับไปรักษากับ หมอคนเดิมอีกเลย ต่อมาก็ทราบว่าหมอคนดังกล่าวได้ขอย้ายไปประจำที่อื่น
หลังจากนั้นมาตนก็ยังคงพยายามตระเวนหาที่รักษาอีกเรื่อยๆ ซึ่งหมอแต่ละโรงพยาบาลต่าง ๆ ก็เจาะเลือดและดูดก้อนเนื้อไปตรวจ แต่หมอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาก็บอกว่ามันเป็นเลือดกับเนื้อ ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำให้ตนเองหมดความหวังในการรักษาโรคดังกล่าวต้องปล่อยไปตามยถากรรม แม้ว่าบางครั้งที่บริเวณก้อนเนื้อนั้นจะเริ่มมีตุ่มน้ำใสๆ ขึ้นมาเหมือนกับสิวก่อนจากนั้นก็เริ่มแตกและเป็นแผลพุพองลุกลามไปทั่วทำให้ตนเองรู้สึกเจ็บมาก ก็ต้องอาศัยวิธีรักษาด้วยการซื้อยาแก้อับเสบมาใส่เองเพื่อช่วยบรรเทาอาการให้ทุเลาและปล่อยให้หายเอง ซึ่งบางครั้งบาดแผลก็มีน้ำหนองไหลออกมา ตนเองก็ต้องปล่อยให้มันไหลออกมาบ้างไม่อย่างนั้นจะเกิดอาการปวดที่ก้อนเนื้อและขาขวา นอกจากนี้บางครั้งก้อนเนื้อที่ผิวหนังก็หลุดลอกออกมาเป็นแผ่นต้องคอยมั่นทายารักษาให้แห้ง
นางแจ้ เปิดเผยอีกว่า หลังจากที่ป่วยเป็นโรคประหลาดที่เท้าแล้ว สามีที่เคยแต่งงานอยู่กินกันมาก็ทิ้งไป ปล่อยให้ตนเองกับลูกชายและพี่สาวทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวกันตามลำพัง ซึ่งตนก็หันมายึดอาชีพและมีรายได้จากการขายกาแฟเย็นและเครื่องดื่มรถเข็นวันละไม่กี่ร้อยบาท บางครั้งก็ถูกลูกค้ามาถามถึงอาการและทำท่ารังเกียจใส่ก็มี ซึ่งตนก็รู้ตัวทำให้รู้สึกอึดอัดและรำคาญใจแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร บางครั้งก็เคยคิดจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ แต่พอมาคิดว่าโรคประหลาดที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเวรกรรมที่ตนเองต้องชดใช้ในชาตินี้ พอคิดได้อย่างนั้นก็เลยทำให้มีกำลังใจและคิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อสู้ต่อไป แม้จะถูกคนรังเกียจบ้างก็ตาม
นางแจ้ กล่าวอีกว่า ตนเองเคยมานั่งคิดว่าอาจจะเกิดจากความผิดพลาดตอนที่หมอทำการผ่าตัดมดลูกจนทำให้ป่วยเป็นโรคประหลาดที่ขาขวาก็ได้ เพราะตอนที่กำลังทำการผ่าตัดมดลูกนั้น ตนเองได้ยินหมอที่ทำการผ่าตัดพูดกันว่า ได้ทำการผ่าตัดพลาดจนทำให้เส้นในร่างกายตนขาดไปเส้นหนึ่ง แต่ตนก็ไม่ทราบว่าเส้นดังกล่าวหมายถึงเส้นอะไร เพราะจากนั้นมาตนเองก็กลายเป็นคนป่วยด้วยโรคประหลาดที่ขาขวามาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าใจหนึ่งก็คิดอยากให้มีคนมาช่วยผ่าตัดรักษาให้หาย แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวจะเป็นอันตรายเพราะอายุตนเริ่มมากแล้ว และนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์จากวันนั้นมาถึงวันนี้กว่า 30 ปีแล้ว จนลูกชายตนโตเป็นหนุ่มอายุ 30 ปี ก็ไม่เคยมีใครยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือตนเองกับครอบครัวเลย