วิธีพิสดารรักษาต้อเนื้อ-ต้อกระจกด้วยเนื้อวัวหรือเนื้อควายสดๆป้ายที่ดวงตา
แม่เฒ่าวัย 66 ปี พิษณุโลกอ้างเรียนมาจากพ่อหมอมีคาถาผีบอก เผยแต่ละวันมีคนแห่มาใช้บริการ 20-30 ราย แต่ถ้าวันดับแรม 15 ค่ำ จะมีคนมาทะลุ 1 พันทีเดียว ค่ารักษาตามจะให้ สาธารณสุขจังหวัดรุดตรวจสอบขอร้องให้เลิก เพราะอาจจะทำให้ตาบอดได้ถ้าหากเนื้อที่ใช้แปะมีเชื้อโรค
เมื่อวันที่ 21 เม.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ขณะนี้มีชาวบ้านในพื้นที่ ต.ท่าทอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก
และพื้นที่ใกล้เคียงจำนวนมาก แห่กันไปรักษาโรคตากับนางทิน จันทร์โต อายุ 66 ปี อยู่บ้านเลขที่ 72/1 หมู่ 2 ต.ท่าทอง ที่ชาวบ้านพากันเรียกว่า "หมอติ๊ก" โดยนางทินอ้างว่ามีวิธีการรักษาโรคต้อเนื้อ และต้อกระจกที่ดวงตา ซึ่งเรียกว่าสูตรผีบอก ใช้วิธีพิสดารด้วยการนำเนื้อวัวและเนื้อควายสดๆ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำมาป้ายที่ดวงตาของผู้ที่มารักษา
จากนั้น จึงเดินทางไปตรวจสอบพบ นางทิน หรือหมอติ๊ก กำลังใช้เนื้อสดๆ ป้ายที่ตารักษาชาวบ้านที่เดินทางกันมาให้รักษาไม่ขาดสาย บางรายมาแล้ว 2-3 ครั้ง
นางทินกล่าวว่า เรียนวิชาสูตรรักษาตานี้มาจากพ่อหมวก อยู่ ต.แม่ระกา อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ที่มาอาศัยอยู่กับแม่ของตนที่ ต.งิ้วงาม อ.เมือง จ.พิษณุโลก โดยเรียนมาตั้งแต่อายุ 13 ปี พ่อหมวกมีคาถาผีบอก เป็นภาษาเขมร ใช้เวลาเรียนมานาน กว่าจะเก่งกล้าก็อายุ 30 ปี และเริ่มใช้วิชานี้รักษามาเรื่อย โดยรักษาต้อเนื้อ ต้อกระจก ม่านตาเบาหวาน ส่วนต้อหินรักษาไม่ได้
นางทิน อธิบายถึงกรรมวิธีรักษาว่า จะใช้เนื้อวัว หรือเนื้อควายสดๆ ที่ฝานเป็นชิ้นเล็กๆ ความยาวชิ้นละประมาณ 3-5 เซนติเมตร โดยจะซื้อจากตลาดสด เลือกเฉพาะเนื้อสันเท่านั้น
ปกติวันธรรมดาจะใช้วันละ 1 กิโลกรัม เมื่อซื้อมาแล้ว นำมาใส่ตู้เย็นในห้องแช่แข็ง โดยใช้ผ้าขาวห่อเอาไว้ ก่อนนำมาใช้จะท่องคาถาที่เรียนมา จากนั้นจะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พอใช้เสร็จแล้วก็ทิ้ง ไม่ได้นำมาใช้ซ้ำ แต่ละครั้งจะนำเนื้อมาใส่ในกระติกน้ำ เมื่อมีคนมารักษาก็จะหยิบทีละชิ้น นำเนื้อมาป้ายที่ดวงตา แล้วท่องคาถาภาษาเขมรกำกับ ใช้เวลารักษารายละประมาณ 2 นาที ปกติจะใช้เนื้อวันละ 1 กิโลกรัม แต่วันพระใช้วันละ 3 กิโลกรัม แต่ถ้าเป็นวันดับจะใช้เนื้อวันละ 5 กิโลกรัม ใน 1 กิโลกรัมหั่นเนื้อได้ประมาณ 300 ชิ้น มีคนมารักษาจากทั่วสารทิศ และบอกกันปากต่อปาก
"วันธรรมดาจะมีคนมารักษาวันละ 20-30 ราย แต่ถ้าเป็นวันพระ หรือวันดับ ตรงกับวันแรม 15 ค่ำ หรือ 14 ค่ำ จะมีคนมารักษาร่วม 1,000 คนเลยทีเดียว คิดค่ารักษาเป็นค่าครูตามแต่ศรัทธา รายละ 20-30 บาท หรือ 100 บาทบ้าง เคยมีหมอจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ส่งพยาบาลมานั่งดูรักษา ก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่บอกว่าให้ทำให้สุก ให้สะอาด ใช้วันต่อวัน ส่วนค่ารักษานั้น แล้วแต่จิตศรัทธาของแต่ละคนที่จะจ่ายเป็นค่าครู บางคนก็ไม่มีเงินก็ไม่ต้องจ่าย บางคนก็จ่ายแค่ 20 บาท ที่ได้มากที่สุด คือวันดับที่คนมาเป็นพันคน มีค่ารักษาร่วม 10,000 บาท
รักษาต้อพิสดาร เนื้อสดๆป้ายตา!
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนางทินรักษาโรคตาต้อเองแล้ว ยังถ่ายทอดสูตรรักษาให้ ด.ญ.สุพรรษา เมธางค์สุเมธ หลานสาววัย 13 ปี
ขณะนี้ศึกษาอยู่ชั้นม.2 เพื่อใช้รักษาต้อกระจก และต้อหิน แต่เป็นวิธีการรักษาที่แตกต่างจากการใช้เนื้อสดรักษา ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "หมอน้อย" สูตรรักษาต้อกระจกของหมอน้อยนั้น ใช้อุปกรณ์กะลาตาเดียว ข้าวสาร และครกไม้โบราณ โดยตั้งครกไม้อยู่กลางแดดนอกชายคา ให้ผู้รักษาหยิบข้าวสารโรยบนครกตำข้าว และให้หยิบข้าวสารขึ้นมา 3 เม็ด จากนั้นให้ผู้รักษานั่งบนครก หันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ ใช้กะลาตาเดียวปิดที่หน้า และส่องดวงอาทิตย์ทีละข้าง ระหว่างนั้น หมอน้อย จะหยิบเมล็ดข้าวสารขึ้นมาทาบบนกะลา แล้วใช้มีดตัดเมล็ดข้าวสารออกเป็น 2 ท่อน พร้อมท่องคาถาตลอดเวลา ทำจนครบ 3 เม็ด ใช้เวลาประมาณ 2-3 นาที เป็นอันเสร็จ
น้องสตางค์ หรือหมอน้อย กล่าวว่า ย่าถ่าย ทอดสูตรรักษาตาให้ ทั้งสูตรใช้เนื้อรักษา และใช้กะลาตาเดียว ต้องท่องคาถาภาษาเขมร แต่ยังไม่ชำนาญ ช่วงนี้จึงทำเฉพาะการรักษาต้อกระจก โดยใช้กะลาตาเดียว ในแต่ละวันมีผู้มารักษาวันละ 20-30 ราย
ด้านนายปรีชา นุชจรัต อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 79/1 หมู่ 10 บ้านดงจันทร์ ต.วังพิกุล อ.วังทอง จ.พิษณุโลก หนึ่งในชาวบ้านที่เดินทางมารักษา กล่าวว่า เป็นต้อเนื้อ ตอนที่ใช้เนื้อรักษารู้สึกเย็นๆ ที่ตา ไม่แสบ
เหมือนโดนของนุ่มๆ มาถูกที่ลูกตา ส่วนการมองดวงอาทิตย์รักษาต้อ กระจก และต้อหินนั้น ไม่รู้สึกแสบดวงตา เพราะเวลามองแสงไม่ได้เข้ามาในกะลามะพร้าวมากนัก หากจะบอกว่าการรักษาแบบนี้จะดีกว่าแบบใช้เนื้อป้ายดวงตา เพราะถ้าไม่สะอาดจริงอาจจะติดเชื้อได้ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ด้านนายชาตรี ป้อมเปิ้ม นักวิชาการชำนาญงานสาธารณสุข จ.พิษณุโลก ได้นำเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบที่บ้านนางทิน พร้อมทั้งสอบถามถึงรายละเอียดในการรักษาดังกล่าว
นายชาตรีกล่าวว่า จากการสอบถามนางทินบอกว่า รักษาโรคต้อมานานหลายสิบปีแล้ว ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ไม่ผิดกฎหมาย แต่เจ้าหน้าที่ได้สอบถามสูตรการรักษานั้น นางทินกล่าวว่า สูตรไม่มี แต่อยู่กับตัว ทำให้ไม่สามารถบอกใครได้ เนื่องจากมีครูประจำตัว ส่วนเนื้อที่นำมารักษานั้น ก็เก็บไว้ในตู้เย็น ฆ่าเชื้อเป็นอย่างดี เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเตือนนางทิน ให้ระงับการกระทำดังกล่าวเสีย เนื่องจากเป็นอันตรายต่อตาของผู้มารักษา เพราะว่าถ้ามีเชื้อแบคทีเรียติดกับเนื้อแล้ว อาจทำให้ตาบอด หรือตาเสียได้ในที่สุด
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ยังเตือนการรักษาด้วยการมองดวงอาทิตย์ผ่านรูกะลาตาเดียว ว่าจะเป็นอันตรายต่อดวงตา อาจทำให้ตาบอดได้ ซึ่งนางทินรับปากว่าจะไม่รักษาอีก หากเป็นอันตรายจริง และขณะเจ้าหน้าที่ได้บันทึกคำให้การนั้น มีชาวบ้านมาขอให้หมอติ๊ก รักษากันอย่างต่อเนื่อง แต่หมอติ๊กก็ตอบปฏิเสธไป