กลับมาเยือน กรุงเป่ยจิง (ปักกิ่ง) นครหลวงของสาธารณประชาชนจีนอีกครั้งหนึ่ง หลังจากร้างราไปหลายปี น่าเสียดายที่เครื่องบินแตะพื้นรันเวย์หลังจากท้องฟ้ามืดแล้ว ทำให้ต้องรีบเข้าพักที่โรงแรมโนโวเทล ใกล้หวังฟู๊จิ่ง ถนนคนเดินซึ่งปกติจะคึกคักในยามค่ำคืน
แต่คืนที่ไปถึงเป็นวันที่ 29 กันยายน ก่อนที่จะหยุดยาวเนื่องในวันชาติจีน 1 วัน ทำให้คืนนั้น ถนนหวังฟู๊จิ่งค่อนข้างเงียบเหงา คณะของเราจึงทำได้แค่ไปนั่งที่บาร์เบียร์ริมถนนที่คนเดินผ่านไปมาบางเบา
ช่วงเช้าเวลาประมาณ 6 โมงครึ่ง จากชั้น 16 ของโรงแรม มองลอดหน้าต่างออกไป ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่อากาศมัวซัวของกรุงเป่ยจิ่งซึ่งรู้กันดีว่า เกิดจากมลภาวะของอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง (แม้จะมีการคุมเข้มในช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกก็ตาม) ทำให้ดวงอาทิตย์ยามเช้าที่อยู่เหนือตึกระฟ้าไม่สดใส
เป้าหมายแรกของคณะเราคือ พระราชวังต้องห้าม ที่พำนักของฮ่องเต้หลายพระองค์ 2 ราชวงศ์ รวมทั้งพระนางซูสีไทเฮาด้วยเนื่องจากหลายคนไปไม่เคยมากรุงเป่ยจิง จึงต้องการชมความโอฬารของพระราชวังแห่งนี้เป็นขวัญตา
เนื่องจากเป็นวันหยุดยาว ทำให้ชาวจีนทั่วทุกสารทิศจากมณฑลต่างๆ หอบลูกหอบหลานหลายหมื่นคนมาชมพระราชวังต้องห้ามเสมือนเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ต้องมาดูสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งนี้ให้ได้
คณะของเราจึงได้แต่เดินชมอย่างฉาบฉวย ให้เห็นความใหญ่โตของศูนย์กลางของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เนื่องจากผู้คนแห่เข้าชมอย่างมืดฟ้ามัวดิน ทำให้รถไม่สามารถเข้ามารับคณะของเราได้ จึงต้องเดินลัดเลาะออกทางทางข้างเป็นระยะทางประมาณกิโลเมตรเศษๆ ผ่านอาคารพาณิชย์ริมถนน
พลันหนึ่งในคณะของเราก็มองเห็นชื่อโรงแรมแห่งหนึ่งเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ถึงกับชะงักกึกแล้ว จ้องมอง ทำให้ผู้คนอื่นๆ ต้องเหลียวหลังดูด้วย จากนั้นก็มีเสียงฮาครืน พร้อมกับถามกันเซ็งแซ่ว่า อ่านออกเสียงว่าอย่างไร
"KAPOK" - "กาปุก" เสียงสาวคนหนึ่งบอก
อีกเสียงหนึ่ง บอก "กาป๊อก"
แต่อีกเสียงหนึ่งบอกชัดเจน "กาโ..ก"
ทำเอาฮากันครืน!!!
ด้วยเวลาอันจำกัดทำให้ได้แค่นั่งรถตระเวนชมเมือง พวกเราเลือกไปแค่ขอถ่ายรูปกับสนามกีฬารูปรังนกซึ่งเป็นสถานที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 เป่ยจิงเกมส์ไว้เป็นที่ระลึก