"ดีเอสไอ" จ่อเรียก "เสี่ยบุญชัย" กับอดีตภรรยา แจงที่มาบ้านพัก หรูหราบนยอดเขาที่พังงา รวมทั้งการครอบครองที่ดิน หลังสอบผู้ดูแลบ้านให้การแต่เดิมเป็นของบุญชัย ต่อมามอบให้อดีตภรรยา ใช้ชื่อบริษัทแห่งหนึ่งถือครองแทน ต้องเรียกทั้งหมดมาชี้แจง พร้อมเสนอเป็นคดีพิเศษ ชี้กฎหมายที่ดินระบุชัดเจน ห้ามออกเอกสารสิทธิในที่เขา หรือภูเขา และในเขตที่สงวนหวงห้ามของรัฐ
เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบบ้านพักขนาดใหญ่ 2 หลัง บนเขาในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าควนโต๊ะหลาและป่าแหลมซำ ต.คลองเคียน อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา หลังเข้าตรวจสอบหาร่องรอยพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ว่าในสัปดาห์หน้า พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะเสนอให้รับเป็นคดีพิเศษ และตั้งเรื่องสอบสวนผู้เกี่ยวข้องทันที อีกทั้งจะขยายผลไปยังแปลงข้างเคียงด้วย เพราะจุดที่ตรวจสอบเป็นบริเวณยอดเขา และพื้นที่ข้างเคียงต้องมีความผิดด้วย รวมแล้วประมาณ 1,000 ไร่
พ.ต.ท.ประวุธกล่าวว่าสำหรับพยานหลักฐานที่ทำให้มั่นใจ และเสนอให้เป็นคดีพิเศษนั้น เนื่องจากมีข้อห้ามอยู่แล้วตามกฎหมายที่ดิน ระบุชัดเจนว่าห้ามออกเอกสารสิทธิในที่เขา หรือภูเขา และในเขตที่สงวนหวงห้ามของรัฐ อีกทั้งในช่วงเวลานั้นมีหลักฐานเท็จหลายอย่าง เช่น เรื่องการทำประโยชน์ ที่อ้างว่าทำสวนผลไม้มาแล้วกว่า 30 ปี ทั้งที่เป็นป่าล้วนๆ ซึ่งเป็นเท็จหมดทุกอย่าง และช่องทางตามกฎหมายก็ไม่มีทางที่จะออกเอกสารสิทธิได้เลย ขณะนี้ทราบผู้เกี่ยวข้องแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่าต้องเรียกใครมาสอบสวนบ้าง รองอธิบดีดีเอสไอกล่าวว่าต้องเรียกบริษัทผู้ถือครอง และผู้ซื้อที่ดินมาชี้แจงว่าซื้อมาได้อย่างไร หลักฐานการซื้อขายเป็นอย่างไร และอาจทำเรื่องคดีฟอกเงินด้วย รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างนายบุญชัย เบญจรงคกุล หรือเจ้าสัวบุญชัย พนักงานสอบสวนจะต้องเรียกมาชี้แจง
ต่อข้อถามย้ำว่าดีเอสไอต้องเรียกนาย บุญชัยเข้ามาชี้แจงต่อพนักงานสอบสวนด้วยใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ประวุธกล่าวว่า ใช่ เพราะเป็นผู้ที่เคยซื้อที่ดินตรงนี้ แต่ปัจจุบันพบว่านายบุญชัยให้อดีตภรรยาเป็นผู้ถือครองที่ดิน เพราะจากการสอบสวนผู้ดูแลบ้านบอกว่าแต่เดิมเป็นของนายบุญชัย ต่อมามอบให้อดีตภรรยา และเผอิญว่าใช้ชื่อบริษัทหนึ่งเข้ามาถือครองแทน ดังนั้น จึงต้องเรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาชี้แจง
รองอธิบดีดีเอสไอกล่าวต่อว่า สำหรับการรื้อถอนบ้านออกจากพื้นที่นั้น กรณีนี้จะเริ่มเมื่อเพิกถอนโฉนดแล้ว พอสอบสวนเสร็จก็คงใช้เวลาไม่นาน เพราะไม่ต้องไปสอบสวนพยานบุคคลมาก เป็นความผิดเฉพาะตัวของผู้กระทำผิดเอง จะใช้พยานบุคคลที่เป็นเจ้าพนักงานมากกว่า