สตช.ไล่ออก โอ๋ สืบ6 ผิดวินัยร้ายแรง

3 บิ๊กโปลิศลุ้นระทึกรอชี้มูล ´อยู่หรือไป´


เชือดแล้ว โอ๋ สืบ 6 พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา สตช.สั่งไล่ออกจากราชการ หลังเพิ่งถูกป.ป.ช.มีมติชี้มูลเป็นเอกฉันท์ ผิดวินัยร้ายแล้ว ไม่ยอมปฏิบัติตามระเบียบของราชการ ต้นตอจากคดีปล่อยกลุ่มชายฉกรรจ์ รุมกระทืบม็อบพันธมิตร ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

เผยช่วงนั้นถูกสื่อขนานนาม โอ๋ สืบ 6 ภายหลังเกิดการรัฐประหาร

ถูกป.ป.ช.ตามเช็กบิลไม่ปล่อย แล้วชงเรื่องโยนกลับมาให้ตำรวจเล่นงานซ้ำ กระทั่ง พล.ต.ท.เอก ผบช.สนว.ตร. ตัดสินใจลงดาบเอง สะบัดปากกาเซ็นออกจากราชการเรียบร้อย แต่เจ้าตัวยังมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองได้อีก ขณะที่ ผบก.น.1-ผบก.น.6-ผกก.ปทุมวัน ยังต้องลุ้นระทึกการชี้มูลของป.ป.ช.

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 20 ก.พ.


พล.ต.ต.รณรงค์ ยั่งยืน รอง ผบช.ก.และโฆษก สตช. ได้แถลงข่าวกรณี สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ (สนว.ตร.) มีคำสั่งที่ 17/2550 ลงวันที่ 20 ก.พ. 50 โดยพล.ต.ท.เอก อังสนานนท์ ผบช.สนว.ตร. เรื่องลงโทษไล่ออกจากราชการ ให้ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา รอง ผบก.อก.สนว. ออกจากราชการ

สืบเนื่องมาจากขณะที่ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ ดำรงตำแหน่ง ผกก.สส.น.6

มีกรณีถูกกล่าวหากระทำผิดวินัย ร้ายแรงตามมติ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 11/2550 เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 50 ซึ่งได้ทำการสืบสวนข้อเท็จจริง สำนวนการสอบสวนคดีอาญา ที่ 1660/2543 แล้วมีมติเอกฉันท์ว่า การกระทำของ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ มีมูลเป็นความผิดร้ายแรง โดยมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 79 (2) (5) และ (6)

โดย ป.ป.ช. ได้รับเรื่องมาจาก สน. ปทุมวัน


เพื่อดำเนินการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 89 กรณีที่กล่าวหาร้องเรียน พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เมื่อสมัยเป็น ผกก.สส. น.6 กับพวกร่วมกันกระทำผิดต่อหน้าที่ โดยสั่งการให้ควบคุมหรือจับกุมตัว นายฤทธิรงค์ ลิขิต ประเสริฐกูล และนายวิชัย เอื้อสียาพันธ์ กลุ่มประชาชนที่มาต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บริเวณหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า เขตปทุมวัน เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 49

เป็นเหตุให้มีการทำร้ายร่างกายผู้ถูกควบคุมและผู้ถูกจับกุมได้รับบาดเจ็บ

และมีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยเหลือผู้กระทำความผิดมิให้ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200 ซึ่ง ป.ป.ช. ได้ รับพิจารณาและทำการไต่สวนข้อเท็จจริง ตั้งอนุ กรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานกระทั่งมีมติเอกฉันท์ว่าการกระทำของ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ มีความผิดดังกล่าว

ต่อมาคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณา


สั่งลงโทษของสนว.ตร.ได้ร่วมกันพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 1/2550 เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 50 แล้วเห็นตามมติของป.ป.ช.ชี้มูลความผิดพ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง จึงได้มีมติลงโทษให้ไล่ออกจากราชการตามมาตรา 72 และ 90 ตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2527 จึงให้ไล่ออกจากราชการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป




ทั้งนี้พล.ต.ต.รณรงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า


หลังจากมีคำสั่งไล่ออกจากราชการ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ ต้องมาเซ็นรับทราบคำสั่ง และหลังจากเซ็นรับทราบแล้วสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อ ก.ตร.ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่เซ็นรับทราบ นอกจากนี้หากต้องการฟ้องโต้แย้งคำสั่งหรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครองภายใน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่รับแจ้งหรือรับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์

ผู้สื่อข่าวถามว่า


ในกรณีที่ ป.ป.ช.จะเรียกพล.ต.ต.มานิต วงศ์สมบูรณ์ ผบก.น.1, พล.ต.ต.วนิช สุรพลชัย ผบก.น.6 และ พ.ต.อ. วัลลภ ประทุมเมือง ผกก.สน.ปทุมวัน ไปรับทราบข้อกล่าวหาฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพราะเป็น ผู้บังคับบัญชาและเจ้าของพื้นที่ในขณะนั้น ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัยเช่นกันหรือไม่

พล.ต.ต.รณรงค์ ตอบว่า เรื่องนี้ป.ป.ช.กำลังดำเนินการอยู่ ต้องให้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและส่งเรื่องมาให้ก่อนจึงจะดำเนินการได้ อย่างไรก็ดีถ้าทางป.ป.ช.ส่งเรื่องมาก็ต้องส่งให้ทางบช.น.ต้นสังกัดเป็นผู้พิจารณาโทษทางวินัย.


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์