“ยะใส” ระบุพรรคการเมืองใช้วิธีการดึงมวลชน
วันนี้( 29 พ.ย.)ที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวในการอภิปรายเรื่องทิศทางประเทศไทยในอนาคต ว่า พรรคการเมืองยังมีความจำเป็นที่ต้องมี แต่หลัง ๆ มีการเข้าไปทำมวลชนออกมาเคลื่อนไหวสร้างกิจกรรม สร้างเหตุการณ์ สร้างกระแส เพื่อให้พรรคมีเวทีที่ยืน เดิมเริ่มจากพรรคเพื่อไทย ต่อมาพรรคประชาธิปัตย์ก็ทำ สำหรับตนคิดว่าก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องไม่ข้ามเส้นจนกลายเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ปลุกระดมจนมาทำลายกลไกทางสภาเสียเอง อย่างไรก็ตามตนไม่เชื่อว่าทฤษฎีการแช่แข็งประเทศไทยของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) จะแก้ปัญหาได้
“เราไม่อาจห้ามการเคลื่อนไหวของมวลชนภาคประชาชนไม่ได้ จะมีวาระเรียกร้องที่พิสดารยังไงก็เป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่จะเกินขอบเขตหรือไม่ เช่น กรณีการชุมนุมกลุ่ม เสธ.อ้าย ที่มาเร็วไปเร็ว ก็ทิ้งให้คิดว่าทำไมมีคนกลุ่มหนึ่งที่ออกมาคิดว่านักการเมืองควรเว้นวรรค 5 ปี ซึ่งมีคนคิดแบบนี้ไม่น้อย ซึ่งเราห้ามเขาคิดไม่ได้ แต่ควรย้อนคิดว่าอะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาคิดแบบนี้ ทำไมกลไกที่มีอยู่ตามกฎหมายไม่ตอบโจทย์ ซึ่งเป็นระนาบความคิดเดียวกันกับการรัฐประหารปี 2549 ก็พบว่าคำตอบทุกอย่างไม่ได้อยู่แต่ในรัฐสภาอีกแล้ว และเมื่อเกิดวิกฤติก็ย่อมมีคนคิดนอกกรอบ จนตอนนี้ไม่มีใครเชื่อว่าการรัฐประหารจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า ระบบเดิมไร้ความหวัง องค์กรอิสระนอกจากถูกแทรกแซงแล้ว ตัวองค์กรเองกลับกลายเป็นอำนาจใหม่ที่เอาตัวเองออกจากการตรวจสอบ หรือการเชื่อมโยงกับสังคม รวมทั้งเรื่องประสิทธิภาพในการทำงานที่ไม่ทัน กลายเป็นความยุติธรรมที่มาช้าจนกลายเป็นความอยุติธรรม เราจึงต้องเดินไปสู่การปฏิรูปใหญ่ มีเงื่อนไขเพียงแค่
1. ปฏิรูปก่อน หรือ 2. นองเลือดก่อน เท่านั้น อย่างไรก็ตาม วาระปรองดองยังต้องเดินหน้า เพียงแต่ยังต้องดั้นด้นมองหาวิธีการใหม่ ๆ แต่ต้องเริ่มต้นที่ผู้บริหารประเทศจริงใจ และไม่ยึดติดกับอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นต้องเป็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือต้องเอาแกนนำเข้าคุกเท่านั้น แต่ยังมีมิติอื่น ๆ อีกมาก ถ้ามีการเสนอร่าง พรบ. ปรองดองก็คงมีการเคลื่อนไหวจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ถ้ารัฐบาลคิดว่าเอาอยู่ก็จะเอาเข้าสภา ซึ่งมันอาจจะพลิกการเมืองไทยทั้งกระดานได้เหมือนกัน จึงยังไม่คิดว่ารัฐบาลจะกล้าเอาเข้าสภาในเวลาที่เพิ่งถูกอภิปรายจากฝ่ายค้าน จึงไม่น่าจะเป็นสมัยประชุมที่จะมาถึงนี้ รวมทั้งการแก้รัฐธรรมนูญวาระสาม เพราะเป็นสองเรื่องที่เป็นสายล่อฟ้า และคิดสร้างเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นให้มั่นคงก่อน
นายสุริยะใสกล่าวว่าหากถือว่าปีหน้าจะเอาปรองดองเป็นวาระของประเทศนั้น ขอเสนอว่า 1. ผู้มีส่วนได้เสียคือทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านไม่ควรเป็นเจ้าภาพ แทนที่จะเร่งรัดออก พรบ.ปรองดอง ควรตั้งหลักใหม่ อาจมีกรรมาธิการปรองดองชุดใหม่มาสร้างเจ้าภาพจากหลากภาคส่วน แล้วมาขบคิดกันว่าควรจะทำอะไรได้ โดยไม่ต้องรอเดินพร้อมกันทั้งหมด 2. ไม่ควรกำหนดกรอบเวลาในการปรองดอง เพราะหากไปกำหนดแล้วมันปรองดองไม่ได้ จนกว่าผู้คนในบ้านเมืองจะเห็นว่าเป็นวาระของประเทศ 3. ทำเรื่องที่ทำได้ง่ายก่อน เช่นปรองดองในหมู่ประชาชนก่อนที่จะปรองดองในหมู่ชนชั้นนำที่ต้องเอาใจกองเชียร์ บางเรื่องก็ไม่ต้องทำอย่างเป็นทางการมาก แต่ต้องมีเจ้าภาพที่ถาวร.