“อภิสิทธิ์”ลั่นคำสั่งปลดออกจากราชการผิดกม.

                 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการฟ้าวันใหม่ ทางบลูสกายแชนนอล ถึงการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองว่า คำสั่งของกระทรวงกลาโหม ตั้งใจสกัดกั้นหรือกลั่นแกล้งทางการเมือง เดิมทีตั้งเรื่องว่าตนหนีทหาร สุดท้ายขณะนี้จากคำสั่งที่ออกมา ก็แสดงว่ารมว.กลาโหมเห็นว่าตนเข้าไปเป็นทหารแล้ว ไม่อย่างนั้นจะปลดตนออกได้อย่างไร สุดท้ายประโยคที่เขาต้องการให้อยู่ในคำสั่งก็คือบอกว่า ผมนั้นประพฤติทุจริต แล้วก็ประพฤติมิชอบในวงราชการ เพื่อปลดออก และมีการไปยื่นให้องค์กรต่าง ๆ ชี้ว่าตนขาดคุณสมบัติ เพื่อมาตีให้ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตกไป และการสอบของกระทรวงกลาโหมก็ทำอย่างเร่งรีบ น่าจะขัดกับกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง

              นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ขอชี้แจงว่า หลังจากที่นจบปริญญาตรีแล้วก็เดินทางกลับมาที่ประเทศไทย และไปรายงานตัวขึ้นบัญชีทหารกองเกิน ก็ได้ใบสำคัญที่เรียกว่า สด.9 จากนั้นได้นำใบสด.9ไปสมัครรับราชการทหารที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า สุดท้ายทางรมว.กลาโหม ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการแต่งตั้ง ก็บรรจุแต่งตั้งตนเมื่อปี 2530 แต่ยังเป็นทหารเลยไม่ได้ต้องไปเป็นอาจารย์ ข้าราชการพลเรือนในกระทรวงกลาโหม อยู่ที่โรงเรียนนายร้อยก่อน พอเป็นอาจารย์เสร็จก็ไปฝึกทหาร หลักสูตรนักเรียนนายทหาร มีทั้งข้อเขียน การปฏิบัติ มีไปเขาชนไก่ พอกลับมาเสร็จเรียบร้อยเขาก็แต่งตั้งให้เป็นนายทหารสัญญาบัตร ก็จะมียศว่าที่ร้อยตรีตามกฎหมาย ตั้งแต่เดือนเม.ย. 2531 จากนั้นต้องขอพระราชทานยศเป็นร้อยตรีตามขั้นตอน และคนที่เข้าไปเป็นนายทหารสัญญาบัตรแล้วต้องไปขึ้นทะเบียนทหารกองประจำการ ซึ่งต้องเอาใบ สด.9 ไปประกอบในการขอขึ้นทะเบียน ปรากฎว่าใบ สด.9 ของตนหาย แต่เขาก็ออกใบแทนให้ เป็น สด.9 ที่เขียนว่าใบชำรุดที่สูญหาย ดังนั้นตนจึงไม่ได้ใช้เอกสารเท็จตามที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กล่าวหา แต่เรื่องนี้ก็แปลก เขาบอกว่าผมเป็นทหารไม่ได้ตั้งแต่ต้น เหตุใดจึงไม่เพิกถอนคำสั่ง เหตุใดมาปลดตนออกจากราชการ แต่นี่เหมือนกับยอมรับว่า ตนเป็นทหารแล้วก็มาปลดออก และขอยืนยันว่า ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายทหารสัญญาบัตรถูกต้องแล้ว

               นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า กระทรวงกลาโหมจะใช้กฎหมายวินัยทหาร 2476 มาดำเนินการกับตนไม่ได้ เพราะใบสด.9 ที่เขียนว่าใบชำรุดสูญหายออกโดยราชการ ตนไม่ได้เป็นคนทำเอกสารขึ้นมาเอง ไม่เข้าใจว่าจะไปเกี่ยวข้องเรื่องวินัยทหารได้อย่างไร และหากตนมีพฤติกรรมผิดวินัยทหารจริงก็ต้องดำเนินการภายใน 3 เดือน แต่ของตนผ่านมา 24 ปีแล้ว หรือว่าจะทำให้เป็นกรณีแรกของประวัติศาสตร์ และที่สำคัญการปลดคนออกจากราชการแบบนี้ไม่สามารถทำได้ ซึ่งพล.อ.อ.สุกำพล น่าจะทราบดี เพราะว่ามีคำวินิจฉัยของกฤษฎีกาที่เคยวินิจฉัยไว้แล้วตั้งแต่ปี 2551 อีกทั้งคำสั่งปลดให้ตนไปเป็นทหารกองหนุน ตนก็เป็นไม่ได้ เพราะอายุตนเกินแล้ว

               “การที่คุณสุกำพล เขียนว่าเป็นเรื่องวินัยทหาร เพื่อสกัดช่องทางเพราะมองว่าศาลปกครองจะไม่รับพิจารณาในเรื่องวินัยทหาร แต่ผมเรียนว่า ศาลคงต้องพิจารณาก่อนว่าเป็นเรื่องวินัยทหารหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าคุณสุกำพลเซ็นบอกว่าเป็นวินัยทหาร ก็เลยกลายเป็นว่าเป็นวินัยทหาร ต้องยึดตามข้อเท็จจริง ที่ผ่านมาคุณสุกำพลเคยถูกรองปลัดกระทรวงกลาโหมฟ้อง ศาลปกครองก็ยังรับเรื่องไว้พิจารณา เพราะเห็นว่าไม่ได้เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของวินัยทหาร เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้มันก็เป็นเพียงการพยายามที่จะกลั่นแกล้ง ซึ่งเราก็จะต้องต่อสู้เรื่องนี้ วันนี้ก็คงจะเริ่มต้นที่ศาลปกครองก่อน เป็นขั้นแรก ส่วนใครจะไปยื่นเรื่องคุณสมบัติที่ศาลรัฐธรรมนูญ ผมก็ต้องไปชี้แจงที่ศาลรัฐธรรมนูญว่า คำสั่งที่บอกว่าปลดผมออกจากราชการนั้นเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครอง ถ้ารับเรื่องทั้ง 2 ไว้ จะมีแนวทางอย่างไรว่า ศาลไหนจะให้ศาลไหนเป็นผู้พิจารณาก็คงจะต้องมาดูกันอีกที แต่สุดท้ายในเรื่องคุณสมบัติผมก็ต้องไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว