เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 22 ต.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อเข้าให้ปากคำคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ 99 ศพ จากเหตุรุนแรงทางการเมือง ปี 2553 โดยนายจตุพร ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าให้ปากคำว่า ตนจะให้ปากคำเป็นถ้อยคำ เพราะไม่ได้เตรียมเอกสารใดๆ มาด้วย เนื่องจากทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นติดอยู่ในความทรงจำทั้งหมด แต่หากดีเอสไอต้องการพยานเอกสารก็จะนำมามอบให้ภายหลัง
นายจตุพร กล่าวต่อว่า ระหว่างให้ปากคำตนก็จะเสนอให้ดีเอสไอประสานขอภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพรถที่เข้า-ออก
กรมทหารราบที่ 11 ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เนื่องจากมีแหล่งข่าวให้ข้อมูลที่อาจเกี่ยวข้องกับชายชุดดำ โดยพบว่ามีรถตู้บางคันมีบุคคลที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำอยู่ในรถซึ่งเป็นรถตู้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พร้อมกันนี้ยังเห็นควรให้ดีเอสไอเชิญบุคคลอีก 2 คนที่เชื่อว่าจะเป็นพยานสำคัญ คือ ทหารที่ทำหน้าที่คนเขียนแผนประทุษกรรม แผนผังล้มเจ้า เพื่อสอบถามความเชื่อมโยงไปถึงแรงจูงใจในการปฏิบัติการ และอีกราย คือ ทหารผู้ทำหน้าที่รวบรวมคำสั่งของศอฉ.ทุกฉบับ
“ขณะนี้ผมไม่ได้มีความอาฆาตแค้นทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่งแต่ต้องการให้มีการนำตัวผู้สั่งการมาลงโทษ ขอตั้งข้อสังเกตเรื่องชายชุดดำว่าอาจเป็นเพียงการสร้างสถานการณ์ หรือจัดฉากเพื่อเอื้อประโยชน์ในการปฏิบัติการเท่านั้น เพราะพบว่ามีการเผยแพร่ภาพชายชุดดำหลังจากวันที่เกิดเหตุ 3 วัน ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติในการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชน หากพบเห็นข้อมูลก็ต้องนำเสนอต่อสาธารณะทันที แต่เหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. และเหตุการณ์ที่อนุสรณ์สถานการณ์มีการนำภาพชายชุดดำมาเผยแพร่ภายหลัง” แกนนำ นปช.กล่าว
นายสมหวัง อัสราษี รองประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
ยื่นหนังสือถึงนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อขอเพิ่มเงินรางวัลนำจับให้กับผู้แจ้งเบาะแสจนนำไปสู่การจับกุมคนร้ายที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 ซึ่งก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้ตั้งรางวัลนำจับไว้ 7 คดี คดีละ 1 ล้านบาท โดยนปช. จะขอเพิ่มรางวัลให้กับผู้แจ้งเบาะแสอีกรายละ 1 ล้านบาท ซึ่งเงินทั้งหมดเป็นเงินส่วนตัวเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับพยานที่จะเข้าให้การ และทำให้การทำงานของดีเอสไอมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากนี้เชื่อว่าจะมีแนวร่วมรายอื่นขอสมทบรางวัลนำจับเพิ่มเติมแต่อาจเป็นในรูปแบบของที่ดิน
ด้าน นายธาริต กล่าวว่า ตนไม่ขัดข้องและถือเป็นเจตนาของผู้ประสงค์ดีในการทำให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าไปสู่การจับกุมคนร้าย
ซึ่งจากการตรวจสอบข้อกฎหมายพบว่าสามารถทำได้ โดยผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับเงิน 2 ล้านบาท เมื่อสามารถแจ้งข้อมูลที่เป็นประโยชน์จนนำไปสู่การจับกุมคนร้ายดำเนินคดีได้ ซึ่งที่ผ่านมาดีเอสไอเคยตั้งรางวัลนำจับในลักษณะนี้แต่ยังไม่เคยมีบุคคลภายนอกมาร่วมสมทบเงินรางวัลนำจับ