วินาทีที่ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ทิ้งเก้าอี้ "รองนายกรัฐมนตรี" และ "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย" ทำให้ กระแสฝุ่นตลบนับถอยหลังขยับปรับทัพ "คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยิ่งลักษณ์ 3" ได้อุบัติขึ้นทันที ด้วยผลพวงจากการปฏิบัติหน้าที่มิชอบในเรื่องที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ เมื่อครั้ง "ยงยุทธ" นั่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และรักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทย
ส่งผลให้ "อานุภาพ" ที่ดินธรณีสงฆ์ จึงลุกลามบานปลาย มิอาจทำให้ "ยงยุทธ" รักษาการเก้าอี้ทั้ง "ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ" และ "หัวหน้าพรรคเพื่อไทย" (พท.) เอาไว้อยู่ในอ้อมกอดได้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ "ยงยุทธ" จึงต้องทิ้งทุกตำแหน่งสำคัญที่อาจกลายเป็นการเปิดช่องให้ "ฝ่ายตรงข้าม" หยิบข้อกฎหมายมายื่นร้องเรียนต่อองค์กรอิสระและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ไฮไลต์สำคัญจึงต้องจับตาผู้มานั่งในตำแหน่ง "หัวหน้าพรรคเพื่อไทย" ตัวจริงตาม "นิตินัย" ที่จะเข้ามากุมบังเหียนพรรคใหญ่ที่มี ส.ส.ในสภามากที่สุดถึง 264 ที่นั่ง
เมื่อ "โฟกัส" ถึงคุณสมบัติที่ "ผู้มีอำนาจ" ใน "พรรคเพื่อไทย" ไว้วางใจให้ "ยงยุทธ" เป็นหัวหน้าพรรคนับแต่พรรคอยู่ในฟากเป็น "ฝ่ายค้าน" มือสมัครเล่น เนื่องจาก "ยงยุทธ" เคยผ่านงานระดับ "ปลัดกระทรวงมหาดไทย" มาก่อน และที่สำคัญ เคยร่วมทุกข์และร่วมสุข ให้กับ "พรรคเพื่อไทย" ในยามที่ "พรรคไทยรักไทย" จนถึง "พรรคพลังประชาชน" ต้องล่มสลาย ระดับความไว้วางใจ และขึ้นตรงต่อ "ผู้มีอำนาจ" ตัวจริงใน "พรรคเพื่อไทย" ของ "ยงยุทธ" ย่อมมีอยู่สูงกว่าเพื่อน
ด้วยความเป็น "ข้าราชการเก่า" และเคยเป็นมือทำงานให้กับ "รัฐบาลพรรคไทยรักไทย" นั่นจึงเป็นที่มา อันทำให้ "คนชินวัตร" เชื่อใจ ไม่เพียง "คนชินวัตร" วางใจเท่านั้น แต่ ส.ส.ทุกกลุ่มและทุกก๊วน รวมถึง "คนเสื้อแดง" ในพรรคเพื่อไทย ก็ให้ความเคารพเป็นอย่างสูง ดังนั้น การเลือกตั้ง "คณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย" ชุดใหม่เพื่อแทนชุดเก่าในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ จึงไม่น่าจะเกินความคาดหมายว่า "คุณสมบัติ" ต้องมีความคล้ายคลึงกับ "ยงยุทธ"