ชำแหละ มาร์ค-เทพเทือก ให้การ 98 ศพ รอดไม่รอด ?

การเข้าให้ปากคำในฐานะพยานคดี"  98 ศพ" ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มาราธอนข้ามคืน

มีความเห็นจากนักวิชาการที่ติดตามข้อมูลผู้เสียชีวิตและญาติเหยื่อ ถึงคำให้การของทั้งสองคน พร้อมเรียกร้องให้ดีเอสไอสาวให้ถึง′ผู้สั่งการ′


พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์

คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สังคมควรเข้าใจว่าขณะนี้กระบวน การทำงานของดีเอสไอยังอยู่ที่การสอบสวนไม่ใช่การพิจารณาหรือมีข้อยุติแล้ว และควรโฟกัสทุกเรื่องเพื่อความเป็นธรรม ไม่เฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง ทั้งเรื่องชายชุดดำและเรื่องเผาบ้านเผาเมือง

เรื่องเหล่านี้มันหลุดไปหมดแล้ว ถ้ามีการเผาบ้านเผาเมืองจริงเหตุใดพรรคประชาธิปัตย์ถึงไม่หาหลักฐานเกี่ยวกับคนเหล่านี้มายืนยัน กรณีที่ นายสุเทพกล่าวว่า มีทหารถูกยิง ทำไมไม่มีทหารออกมาพูดอะไรเลย ทำไมทหารยังเงียบอยู่ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของตัวเอง

เหตุใดกระบวนการในการหาความจริงเรื่องนี้จึงยืดเยื้อและล่าช้า โดยเฉพาะในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ทำไมถึงไม่ดำเนินการค้นหาความจริงในเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานาน ที่ผ่านมาทำไมการดำเนินการสอบ สวนจึงล่าช้ามาก

เราต้องตั้งคำถามเช่นกันว่าการที่ดีเอสไอเป็นผู้สอบจะทำให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาหรือไม่ เพราะดีเอสไอก็เคยมีส่วนในการสลายการชุมนุมเช่นกัน แต่ถ้าไม่ใช่ดีเอสไอ ก็ไม่รู้จะให้ใครสอบ

แต่ที่ผ่านมา ผมสงสัยว่าทำไมคณะกรรมการปฏิรูประเทศไทย และคอป.ทำไมพูดแต่เรื่องปรองดอง ได้เข้าไปช่วยค้นหาความจริงในเรื่องนี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม รายงานจาก คอป. ดีเอสไอก็ต้องรับฟัง แต่ถ้า คอป.มีรายงานออกมาแล้วตอบคำถามเรื่อง 98 ศพไม่ได้ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อความจริงในเรื่องนี้

ส่วนแนวโน้มของคดี 98 ศพนั้น ก็ต้องเดินหน้าค้นหาความจริงกันต่อไป สุดท้ายคงมีการดำเนินคดี แต่ก็ขึ้นอยู่กับศาล ถึงเวลานั้นเราจะรู้เองว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยเป็นอย่างไร

การสอบสวน หากผลสุดท้ายออกมาว่านายสุเทพผิดเพียงคนเดียว ส่วนนายอภิสิทธิ์รอด ก็ต้องตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์เช่นกัน

กฤตยา อาชวนิจกุล

สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล

คณะกรรมการศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ

จากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.)


สิ่งที่นายสุเทพในฐานะอดีตผอ.ศอฉ.ในขณะนั้น ให้ปากคำกับดีเอสไอเป็นเรื่องเก่า ที่ทั้งทาง ศอฉ.และนายอภิสิทธิ์ก็พูดเรื่องนี้มานานเเล้ว

อย่างเช่นเรื่องชายชุดดำ ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ดำเนินการเต็มที่ที่จะหาความจริงในเรื่องนี้ แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปเรื่องชายชุดดำออกมา เพราะฉะนั้นก็ยังเป็นเหตุให้ทางฟากของ ศอฉ.ยังต้องพูดอย่างนี้ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าใดเหตุผลของการกล่าว อ้างเรื่องนี้ก็น้อยลงไปเรื่อยๆ อีกทั้งเมื่อตอนที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ และยังมีอำนาจอยู่ ก็ไม่สามารถหาอะไรมายืนยันในเรื่องนี้ได้

ฉะนั้นไม่ว่าจะพูดอะไรออกมา สิ่งที่พูดก็จะมีเหตุผลน้อยลงเรื่อยๆ จะเป็นเรื่องให้คนทั่วไปเห็นภาพว่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นอย่างไร

ส่วนเรื่องของคดีความนั้นขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินคดีใดๆ ไปสู่ผู้สั่งการ เพราะขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการไต่สวนการตาย

อีกทั้งการไต่ สวนการตายยังไม่สามารถจะใช้ดำเนินคดีได้ในแง่ของตัวกฎหมาย เพราะการไต่สวนการตายเป็นเพียงแต่การยืนยันว่า การตายในแต่ละกรณีนั้นมาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐใช่หรือไม่

และถ้ามาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ และมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นหลายกรณี ก็เป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุดต้องเอาคำพิพากษาจากการไต่สวนการตายทั้งหมดมารวมกันตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษสรุปไว้เเล้วว่าเป็นคดีไหนบ้างที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ

ตามขั้นตอนอัยการก็จะทำเรื่องฟ้องว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ในประเทศไทยยังไม่มีใครทำไปถึงขณะนั้น จึงเป็นที่น่าสนใจว่าในกระบวนการที่ไต่สวนการตายในขณะนี้บทสรุปจะเป็นอย่างไร

ในแง่ของกฎหมายการไต่สวนการตายยังไม่บอกว่าใครผิด แต่จะบอกว่าการตายใดเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อยืนยันได้ว่าเป็นการตายจากการกระทำของหน่วยงานใด ก็ต้องไปหาเจ้าหน้าที่รัฐว่าเป็นหน่วยงานใดเป็นผู้กระทำ ในที่นี้ก็คงเป็นเจ้าหน้าที่ผู้น้อยที่เป็นผู้กระทำ

อย่างไรก็ตาม ต้องไปดูในคำสั่งว่าใครเป็นผู้สั่งการ คำสั่งการเป็นอย่างไรก็ต้องไล่ไปตามลำดับชั้น ซึ่งคงใช้เวลานานเป็นปี เป็นมหากาพย์ แต่ว่าสิ่งที่ ศปช.ยืนยันมาโดยตลอดว่าอยากเห็นการไต่สวนที่นำไปสู่เอาผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง

ถึงแม้คำให้การของนายสุเทพจะบอกว่านายอภิสิทธิ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้ก็ต้องไล่ไปตามระบบบังคับบัญชา ถ้านายอภิสิทธิ์มีอำนาจ เป็นผู้บังคับบัญชาก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

ใครเป็นคนสั่งก็ต้องไล่เป็นลูกระนาดไป และถ้ามีการสืบสวนไต่สวนเต็มที่ก็น่าจะหาผู้กระทำผิดจากการสั่งการและการบังคับบัญชาได้


พะเยาว์ อัคฮาด

แม่น.ส.กมนเกด อัคฮาด

ข้อมูลฝ่ายเจ้าหน้าที่จะมากหรือน้อยเราไม่สามารถรู้ได้ แต่เท่าที่ดูจากหน้าหนังสือพิมพ์ได้เห็นอาการกระวน กระวายใจ ลุกเข้าห้องน้ำบ่อย ซึ่งเกิดจากความเครียดและความกังวล

ที่นายสุเทพออกตัวจะรับผิดชอบคนเดียวในฐานะผอ.ศอฉ. แต่กระบวนการสั่งสลายการชุมนุมโดยให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธสงคราม นายสุเทพกล้ารับผิดชอบเพียงคนเดียวหรือ

และถ้าไม่ใช่นายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้นำประเทศในเวลานั้นเป็นผู้สั่งการ อยากได้ใบสั่งการมาตีแผ่ เพราะเชื่อมั่นว่าใบสั่งการต้องมีลายเซ็น ไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าที่ก็คงไม่มีใครกล้าดำเนินการ หากผู้นำขณะนั้นไม่สั่งการ

ผู้นำประเทศจะเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ ต่อให้นายสุเทพ รองนายกฯ ในเวลานั้น พยายามปัดว่านายอภิสิทธิ์ไม่เกี่ยว แต่ความจริงถ้ากระบวนการยุติธรรมสืบไปแล้วต้องรู้ได้ชัดเจน

กรณี 6 ศพที่วัดปทุมฯ ดิฉันยืนยันตลอด ลูกของดิฉันและอีก 5 ศพ เป็นการฆาตกรรม ยิงโดยไม่แยกแยะ แกนนำม็อบมอบตัวตั้งแต่ช่วงบ่าย หลังทหารยึดพื้นที่ไม่มีใครเข้าออกได้เลย มีแต่ประชาชนหลบเข้าไปในวัด

วันที่ คอป.ลงพื้นที่รับฟังความเห็นพร้อมเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ดิฉันถามพ.อ.ณรงค์ฤทธิ์ คัมภีระ จากกรมรบพิเศษที่ 3 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ว่าทหารยิงเข้าไปในวัดจริงหรือไม่ เขายอมรับว่ายิงครับ แต่มีข้อแม้เป็นการยิงต่อสู้ ถ้าเป็นการยิงต่อสู้แล้ว 6 ศพ มีชายชุดดำสักศพหรือไม่ การชันสูตรพลิกศพทั้ง 6 ศพก็ไม่พบมีเขม่าดินปืน

กระบวนการสอบสวนในคดี 98 ศพ จากนี้เจ้าหน้าที่ต้องสอบใครเพิ่ม หรือดำเนินการอย่างไร ไม่ขอก้าวล่วงกระบวนการไต่สวน แต่ที่ผ่านมาได้ร้องขอไปว่า อย่าให้องค์กรต่างๆ เข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินการอยู่

ขณะเดียวกันการดำเนินการคืบหน้าไปแค่ไหน อย่างไร ดีเอสไอจำเป็นต้องประกาศให้ประชาชนรับรู้และดำเนินการว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

ถามว่ามีความหวังหรือไม่ในการทวงความยุติธรรมให้ลูก เราตั้งความหวังไว้อยู่แล้วแต่ก็ต้องระวังด้วย เช่น การเข้ามาแทรกแซงขององค์กรที่อาจเป็นการข่มขู่ ชี้นำ หากบริสุทธิ์ใจก็ต้องสู้กันด้วยความจริง

ล่าสุด ที่ดิฉันไปเรียกร้องคือ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เคยตั้งความหวังว่าจะเป็นองค์กรที่เรียกร้องสิทธิให้คนตาย ชื่อองค์กรศักดิ์สิทธิ์แต่ผู้บริหารไม่เป็นกลาง