ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 17 ส.ค. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี
กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าศาลอาญาจะเรียกให้ไปเป็นพยานในวันที่ 21 ส.ค.ในการไต่สวนคดีที่พนักงานสอบสวนกล่าวหาเจ้าหน้าที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 ศพ ในช่วงการชุมนุมปี 53 ว่า ตนยังไม่ได้รับหมายเรียก แต่เคยได้ข่าวว่าศาลจะมีหมายเรียกให้ไปให้การเป็นพยาน ซึ่งตนพร้อมให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรมทุกขั้นตอน แต่ขณะนี้มีความเข้าใจผิดว่าตนเป็นจำเลยไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่มีการกล่าวหาจากพนักงานสอบสวนว่าทำความผิดอะไร ซึ่งเชื่อว่าความสับสนที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ชี้นำสั่งการไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้เอาผิดตนให้ได้ และทราบว่าการสอบสวนคดีนี้มีการสั่งการให้เปลี่ยนพนักงานสอบสวน 2 ครั้งแล้ว แต่ตนไม่หวั่นเกรงอะไร พร้อมที่จะพิสูจน์ความถูกผิดตามกระบวนการยุติธรรม ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม มีอำนาจจะใช้อำนาจอย่างไรก็ใช้ให้เต็มที่
อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า กรณีที่มีความพยายามจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าในช่วงการควบคุมสถานการณ์ปี 53
มีการใช้สไนเปอร์ไปยิงประชาชนนั้น เป็นความพยายามสร้างสถานการณ์ ยืนยันว่าการดูแลสถานการณ์ขณะนั้นไม่มีการใช้อาวุธพิเศษหรือสไนเปอร์มาแก้ปัญหาแต่อย่างใด โดยในขณะนั้นมีเพียงการใช้เจ้าหน้าที่ปกติ มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรในการใช้อาวุธตั้งแต่การใช้กระบอง ไปจนถึงอาวุธปืน โดยกำหนดว่าการจะใช้ปืนเอ็ม 16 ได้เฉพาะกรณีป้องกันชีวิต ทรัพย์สิน ของเจ้าหน้าที่และประชาชน
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ตนเชื่อว่า มีความพยายามจะเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในคดีเพื่อเปลี่ยนรูปคดี
และเราจะยอมให้มีการทำอย่างนั้นไม่ได้ ตนจะใช้ข้อเท็จจริงสู้กับการใช้อำนาจ ขาหนึ่งไล่ดำเนินคดีเล่นงานตนทุกอย่าง เมื่อทำไม่ได้ก็เล่นงานลูกเมีย ครอบครัวและคนใกล้ชิด ทำทุกอย่างเพื่อจะบีบตน แต่อีกขาหนึ่งเตรียมออกกฎหมายนิรโทษกรรมใช้ชื่อ พ.ร.บ.ปรองดองคาไว้ในสภา และอีกทางหนึ่งก็ส่งคนมาเจรจาชวนร่วมรัฐบาล ตนยืนยันว่าจะไม่ยอมเป็นเครื่องมือของรัฐบาลนี้ และอยากจะฝากถึงรัฐบาลให้ทำหน้าที่ตามปกติ อย่ามาใช้เรื่องคดีมาบีบให้ตนสมยอมในเรื่องการออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะพวกตนจะไม่ยอมเด็ดขาด.