คณะกรรมการป.ป.ช.ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีร่ำรวยผิดปกติเกี่ยวกับทรัพยสินรายการอื่นๆ แล้ว
โดยรวบรวมทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ถูกกล่าวหาจากธนาคาร ส่วนราชการต่างๆ และบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ผู้ถูกกล่าวหายื่นต่อคณะกรรมการป.ป.ช. ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. 2544 รวม 36 ครั้ง และที่คณะกรรมการป.ป.ช.สั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 มาตรา 79 รวมทั้งได้สอบปากคำพยานบุคคลตามที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้าง
จากพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม เริ่มรับราชการครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2520
ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่แรงงาน กองคุ้มครองแรงงาน กรมแรงงาน ได้รับเงินเดือนอัตรา 1,750 บาท ต่อมาปี 2521 ได้โอนย้ายมาสังกัดกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม และรับราชการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งเรื่อยมาจนกระทั่งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2552 นายสุพจน์มีทรัพย์สินที่แสดงในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการป.ป.ช. 65,795,587.52 บาท ซึ่งมากเกินกว่าเจ้าหน้าที่รัฐในตำแหน่งดังกล่าวพึงมีได้
คณะกรรมการป.ป.ช.จึงให้นายสุพจน์ชี้แจงถึงที่มาของทรัพย์สินดังกล่าว โดยนายสุพจน์ได้ชี้แจงถึงที่มาของทรัพย์สินนี้ว่า
เป็นรายได้ที่ได้มาตั้งแต่เริ่มรับราชการจนถึงปี 2544 เป็นเงิน 4,980,000 บาท รายได้จากการทำงานล่วงเวลากับบริษัทเอกชนปี 2525-2541 เป็นเงิน 9,600,000 รายได้จากงานพิเศษออกแบบ 1,000,000 บาท และเงินกู้จากธนาคาร 5,500,000 บาท รวมทั้งสิ้น 21,080,000 บาท ซึ่งคณะกรรมการป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า มีรายได้ไม่สัมพันธ์กับมูลค่าทรัพย์สิน 65,795,587.52 บาท
นายกล้านรงค์กล่าวว่า คณะกรรมการป.ป.ช.ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีร่ำรวยผิดปกติเกี่ยวกับทรัพย์สินรายการอื่นๆ แล้ว
โดยได้รวบรวมทรัพย์สินและหนี้สินของนายสุพจน์จากธนาคารและส่วนราชการต่างๆ รวมทั้งบัญชีรายการแสดงทรัพย์สินและหนี้สินที่นายสุพจน์ได้ยื่นต่อป.ป.ช.เอง ตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2544-22 พ.ย. 2554 รวม 36 ครั้ง รวมทั้งได้สอบปากคำพยานบุคคลตามที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้าง ทั้งนี้ จากพยานหลักฐานข้อเท็จจริงทั้งหมดชี้ให้เห็นว่านายสุพจน์มีรายได้ไม่สัมพันธ์กับมูลค่าทรัพย์สิน และนายสุพจน์ไม่สามารถที่จะชี้แจงถึงการได้มาของทรัพย์สินดังกล่าวได้ คณะกรรมการป.ป.ช.จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า นายสุพจน์ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 44,185,587.52 บาท
โดยทรัพย์สินต่างๆ มีดังนี้ 1.เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ 4 บัญชี เป็นเงิน 29,625,587.52 บาท
แบ่งเป็น เงินฝากประจำธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า 3 บัญชี ได้แก่ เลขบัญชี 038-3-06258-5 จำนวน 10,230,433.44 บาท, เลขบัญชี 038-3-35721-7 จำนวน 10,870,309.41 บาท และเลขบัญชี 038-3-06206-4 จำนวน 4,524,844.67 บาท นอกจากนี้ยังมีเงินฝากในสหกรณ์ออมทรัพย์กรมทางหลวง จำกัด เลขบัญชี 00929 จำนวน 4,000,000 บาท
2.ที่ดิน 6 แปลง และสิ่งปลูกสร้าง 1 หลัง รวมมูลค่า 7,860,000 บาท ที่ได้อายัดไว้แล้ว ได้แก่ ที่ดินโฉนดเลขที่ 51
แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กทม. เนื้อที่ 50 ตร.ว. ราคา 2,000,000 บาท ที่ดินใน ต.บางปลากด อ.องครักษ์ จ.นครนายก 4 แปลง แบ่งเป็น โฉนดเลขที่ 52022 เนื้อที่ 78 ตร.ว. ราคา 390,000 บาท โฉนดเลขที่ 52023 เนื้อที่ 1 งาน 53 ตร.ว. ราคา 765,000 บาท โฉนดเลขที่ 52024 เนื้อที่ 78 ตร.ว. ราคา 390,000 บาท และโฉนดเลขที่ 52025 เนื้อที่ 63 ตร.ว. ราคา 315,000 บาท รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 17946 แขวงบางกะปิ เขตบางกะปิ กทม. เนื้อที่ 1 งาน 1 ตร.ว. พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 29 ซ.ลาดพร้าว 64 แขวงวังทองหลาง เขตบางกะปิ กทม. ราคารวม 4,000,000 บาท
3.สิ่งปลูกสร้าง 1 แห่ง ได้อายัดไว้แล้ว ได้แก่ ห้องชุดพหลเมทโทร คอนโดมิเนียม เลขที่ 2/37 ซ.พหลโยธิน 14 ถ.พหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. ราคา 1,500,000 บาท
4.ยานพาหนะ 2 คัน รวมมูลค่า 5,200,000 บาท ได้แก่ รถเบนซ์ รุ่นอี 230 ทะเบียน 8 ษ-3689 กทม. และรถเบนซ์ รุ่นซี 220 ทะเบียน พศ 8388 กทม.
ทั้งนี้ เมื่อรวมทรัพย์สินที่คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติว่านายสุพจน์ร่ำรวยผิดปกติ ได้แก่ 1.เงินสดของกลาง 17,553,000 บาท
ทองรูปพรรณหนัก 10 บาท ที่ได้อายัดไว้แล้ว 2.รถโฟล์กสวาเก้น คาราเวเล ทะเบียน ฮต-8822 กทม. มูลค่าประมาณ 3,000,000 บาท และ 3.ทรัพย์สินต่างๆ ได้แก่ เงินฝากธนาคาร ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง รถยนต์ รวมมูลค่า 44,185,587.52 บาท รวมทรัพย์สินที่คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติร่ำรวยผิดปกติทั้งสิ้น 64,738,587.52 บาท
นายกล้านรงค์กล่าวว่า ขณะนี้ทางคณะกรรมการป.ป.ช.ได้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินต่อไป
แต่ทั้งนี้ทางคณะกรรมการป.ป.ช.ได้พิจารณาเรื่องที่มีผู้กล่าวหานายสุพจน์ว่าร่ำรวยผิดปกติอีกเรื่องหนึ่ง แต่ทางคณะกรรมการป.ป.ช.เห็นแล้วว่าผู้กล่าวหาไม่ได้มีหลักฐานเพิ่มเติมจากที่ได้ไต่สวนไปแล้ว จึงมีมติไม่รับพิจารณา