วานนี้ ( 24 ก.ค.) ที่กองการบิน กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)
ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร พร้อมด้วยพล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล เสนาธิการทหารบกในฐานะ เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ( กอ.รมน.) พร้อมคณะนายทหารระดับสูง ได้เดินทางลงพื้นที่ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส เพื่อแก้ไขปัญหาและเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุคาร์บอมบ์หน้าร้านโปรคอมพิวเตอร์ ด้านหลังโรงแรมเก็นติ้งจนมีผุ้บาดเจ็บหลายราย โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนจะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและกำกับดูแลงานในพื้นที่ตามคำสั่งของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ช่วงนี้มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นหลายครั้งจึงต้องไปดูว่า มีข้อบกพร่องอย่างไร เหตุความรุนแรงเกิดขึ้นในช่วงเดือนรอมฎอนของทุกปี ที่ผ่านมาผู้ก่อเหตุได้ปลุกระดมให้สมาชิกสร้างเหตุการณ์ให้มีผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่และกระบวนการของรัฐให้มากที่สุด เพราะมีความเชื่อว่า ผู้กระทำความรุนแรงในช่วงพิธีบุญจะได้ขึ้นสวรรค์ ซึ่งเป็นคำสอนที่ผิด ขณะนี้ผู้นำศาสนาอิสลามได้เข้ามาช่วยทำความใจแล้วว่า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
“ปัญหาภาคใต้เราทราบดีว่า เกิดจากอะไร แต่บางครั้งการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ทั้งหมด ส่วนใหญ่สื่อชอบนำไปเขียนว่า เจ้าหน้าที่ไม่รู้ว่ารบกับใครจึงรบไม่ชนะ ผมว่า มันไม่เป็นธรรมต่อเจ้าหน้าที่ เป้าหมายของผู้ก่อเหตุต้องการสร้างผลกระทบให้เกิดความรุนแรงมากที่สุด แต่การนำเสนอข่าวในลักษณะโจมตีเจ้าหน้าที่และให้เครดิตกับฝ่ายก่อการร้ายนั้นไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ ในแง่ของเจ้าหน้าที่จะแก้ตัวเรื่องความรับผิดชอบคงไม่ได้ เพราะการเกิดเหตุร้ายทุกครั้งต้องมีการรับผิดชอบ แต่ต้องถามว่าเขาทำหน้าที่อย่างเต็มที่หรือยัง
ทั้งนี้การต่อสู้ยุทธวิธีการก่อการร้ายหรือ สงครามกองโจรนั้น ต้องใช้เทคโนโลยีพิเศษหลายอย่าง
เช่นกล้องวงจรปิดซีซีทีวี เครื่องตรวจวัตถุระเบิด และอุปกรณ์ต่างๆต้องมีครบ 100 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงกฎหมายที่จะต้องควบคุมพื้นที่ให้ปลอดภัย โดยมีเจ้าหน้าที่ลงไปทำงานและจะต้องควบคุมประชาชนให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย แต่ประเด็นหลังนั้นทำไม่ได้เลย ทำให้การแก้ไขปัญหาต้องใช้เวลามากขึ้นเรื่อยๆ”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาสำคัญอีกประการ คือ การที่มีเจ้าหน้าที่ลงไปจำนวนมาก
ทำให้คนคิดว่าน่าจะปกป้องเหตุร้ายได้ทั้งหมด แต่บริบทการแก้ไขปัญหาภาคใต้ว่าไม่ใช่การแก้ไขปัญหาด้วยปาก ขอเน้นว่ากำลังทหารทำหน้าที่เสี่ยงอันตรายและยืนยันว่าไม่มีการเลี้ยงไข้อย่างที่มีคอลัมนิสต์เขียน ทุกรัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาตามลำดับ สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนกับการรบบริเวณชายแดนหรือศัตรู คือ เราต้องรบแบบไม่เปิดเผย วันนี้เราพยายามแก้ไขปัญหาเรื่องระเบิด ทั้งการขนย้ายและการประกอบระเบิด ซึ่งต้องขอความร่วมมือจากต่างประเทศ และต้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยดูแลควบคุมและการขายส่วนประกอบอิเลคทรอนิกส์ด้วย อีกทั้งประชาชนต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทหารที่ลงไปในพื้นที่ภาคใต้ประมาณ 3-4 หมื่นคนนั้น เอาไปให้กอ.รมน.เขาใช้งาน ขอให้เข้าใจว่า การทำงานมีระบบอยู่
ดังนั้นขอให้เลิกเสียทีนักรบปากเปล่าหรือนักรบที่เขียนคอลัมนิสต์ หากสงสัยให้มาถาม เพราะปัญหาวันนี้กับวันที่แล้วไม่เหมือนกัน เขียนแล้วบั่นทอนทุกวัน อย่าเขียนด้วยความไม่รู้ จะให้ตนอารมณ์เย็นๆคงไม่ได้ เพราะลูกน้องเหน็ดเหนื่อย งบประมาณแต่ละบาทเป็นเงินภาษีของประชาชนไม่มีใครอยากใช้ของท่าน หากปัญหาจบสิ้นทหารก็อยากกลับมาหาลูกเมีย แต่มันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำและปกป้องประชาชน เมื่อมาคลี่ดูแผนงานนั้นต้องใช้งบประมาณปี 55ที่จะสิ้นสุดในช่วง 3 เดือนหลังจากนี้ ซึ่งจะต้องมีกล้องซีซีทีวีครอบคลุมทุกพื้นที่ในเขตเมือง วันนี้ยังมีกล้องไม่ถึง 10,000 กล้องใน 3 จังหวัดพื้นที่ภาคใต้ ความจริงตอนนี้ต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และต้องช่วยกันอย่าไปโฆษณาให้เครดิตผู้ก่อเหตุ อย่างน้อยไม่ต้องชมเจ้าหน้าที่แต่อยากตำหนิให้มากนัก ไม่เช่นนั้นคนจะท้อแท้กันหมด
“นี่ไม่ใช่คำแก้ตัว แต่อยากให้ทุกคนเข้าใจปัญหา อย่าไปขยายความให้ผู้ร้ายและสร้างความเข้าใจผิดให้ประชาชน เพราะเจ้าหน้าที่จะทำงานไม่ได้ ทุกอย่างที่เราทำงานวันนี้คือดำเนินการตามกฎหมาย หากเจ้าหน้าที่ไม่เคารพกฎหมาย ไม่เชื่อกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่จะกระทำตัวไม่ผิดกับโจร”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว