นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า
ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการงบประมาณมีการสอบถามเรื่องเกี่ยวกับคดีผังล้มเจ้าตนได้ชี้แจงไปว่าการสั่งคดีแผนผังล้มเจ้าของดีเอสไอเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏขณะนั้น ไม่ได้หมายถึงการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง เป็นการสั่งงดการสอบสวน หากมีพยานหลักฐานเพิ่มเติม สามารถนำสำนวนกลับมาสอบสวนได้ใหม่ ดีเอสไอเป็นเพียงผู้ทำความเห็น ของดการสอบสวนแต่ผู้ออกคำสั่งทางคดีเป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการ ซึ่งสำนวนคดีแผนผังล้มเจ้าขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุด
นายธาริตกล่าวอีกว่า คดีแผนผังล้มเจ้าไม่ได้หมายความว่าบุคคลที่ปรากฏรายชื่อบนแผนผังไม่ได้กระทำความผิดเลยแม้แต่รายเดียว
เพราะที่ผ่านมาดีเอสไอได้ดำเนินคดีกับบุคคลที่ปรากฏรายชื่อในแผนผัง มีทั้งอยู่คดีระหว่างการพิจารณาของศาลและบางรายศาลสั่งลงโทษ นอกจากนี้ยังได้ชี้แจงเกี่ยวกับการดำเนินดคีกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาว่าคดีดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก และตนได้พบกับผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบหน่วยงานของสถาบันพระมหากษัตริย์ 2 ครั้ง
บุคคลดังกล่าวได้ให้ข้อแนะนำถึง 2 ประเด็นว่า
1.หากดีเอสไอจะดำเนินคดีเกี่ยวกับผู้ใดตามมาตรา 112 ขอให้มีพยานหลักฐานชัดเจน 2.การดำเนินคดีตามมาตรา 112 เป็นการกระทำที่กระทบกับสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง ดังนั้น การดำเนินคดีต้องคำนึงว่าเป็นประโยชน์หรือกระทบกระเทือนต่อสถาบัน จึงขอให้ใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง
"ผมน้อมรับคำแนะนำของท่านผู้ใหญ่ มาเป็นข้อพิจารณาเพื่อประกอบการสั่งคดี แต่มิใช่เป็นคำสั่งการ ผมยืนยันว่าคดีตามมาตรา 112 ทุกคดี เป็นไปตามพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฏในการสอบสวน ซึ่่งทุกครั้งจะมีพนักงานอัยการร่วมสอบสวนกับดีเอสไอตลอดทุกครั้ง" นายธาริตกล่าว