คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตสมาชิกบ้านเลขที่111 กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291เข้าข่ายล้มล้างระบอบการปกครองฯตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่วันที่ 13 กรกฎาคมว่า
ถือเป็นจุดสำคัญของประเทศ ไม่ใช่ว่าพรรคเพื่อไทยจะถูกยุบหรือไม่ถูกยุบเท่านั้น แต่สำคัญว่าประเทศจะเดินหน้าก้าวข้ามความขัดแย้ง หรือมีโอกาสที่จะจบปัญหาความขัดแย้งได้หรือไม่อย่างไร นัยยะของคำพิพากษาครั้งนี้มีมากกว่าจะยุบพรรคการเมืองใด ซึ่งจะสร้างความไม่สบายใจน้อยเนื้อต่ำใจแก่สมาชิกพรรคกลุ่มหนึ่งแน่นอน
ทั้งนี้ ตนมองว่า เหตุที่จะจบได้มีทางเดียวคือ ต้องใช้กฎหมายอย่างเที่ยงธรรมเที่ยงตรง และต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ตามบทบัญญัติดังนั้นจึงวิงวอนต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็คงไม่ถึงกับประณามว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีธงหรือไม่มีธง แต่ในฐานะของคนไทยคนหนึ่งรู้สึกว่าประเทศไทยติดหล่มมานานแล้ว ถ้าครั้งนี้ศาลจะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าได้แม้ว่าอาจมีคนพอใจหรือไม่พอใจบ้าง แต่หากศาลได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแล้ว สังคมจะมองออก
สำหรับความเดือดร้อนของพรรคเพื่อไทยถือว่าน้อยกว่าคนทั้งประเทศอย่างแน่นอนเพราะพรรคถูกยุบก็ตั้งพรรคใหม่ได้ อีกทั้ง นายกฯก็ไม่เป็นกรรมการบริหารพรรค แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ปมของความขัดแย้งจะอยู่ไปเรื่อยๆในสังคมไทย
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการมีส่วนได้เสียของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยเห็นว่าควรจะถอนตัวจากองค์คณะนั้น นางสุดารัตน์ กล่าวว่า ตามหลักกฎหมายมีอยู่แล้วว่าการมีส่วนได้ส่วนเสียหรือปฏิปักษ์ต่อกันจะไม่ให้มาพิจารณาคดี เพราะจะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม เช่นเดียวกับกรณีนี้ที่ไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้ก่อนทำให้ตนในฐานะคนไทยรูสึกหวั่นใจ และเสียดายตุลาการฯที่รู้ว่าตัวเองมีความเกี่ยวข้องมีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้ก็น่าจะแสดงความบริสุทธิ์ใจมาตั้งแต่ต้น
คุณหญิงสุดารัตน์ ยังกล่าวถึงการปรับครม. โดยยืนยันว่า จะไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรีในการปรับครม. เพราะตนมีภารกิจที่จะต้องทำคือ การบูรณะสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าให้แล้วเสร็จ ซึ่งหากเข้าไปแล้วการเมืองจะต้องมีเรื่องสาดโคลนกันก็จะทำให้เกิดความเสียหายต่อโครงการดังกล่าวได้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีแต่หากมีงานที่ต้องการให้ช่วยและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมตนก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐมนตรีก็ได้