“ลูกเทพเทือก” แถลงทั้งน้ำตา โวยโดนกลั่นแกล้งยัดให้เป็นผู้ต้องหาบุกรุกป่าสงวนเขาแพง

วานนี้ (8 ก.ค.)นายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชาย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎรธานี พรรคประชาธิปัตย์
 
เปิดแถลงข่าวชี้แจง กรณีเขาแพงอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก โดยแจกเอกสาร แผนที่ ที่สำรวจโดยระบบจีพีเอสของกรมที่ดิน ประกอบการแถลงข่าวด้วย โดยนายแทน แถลงยืนยันว่า จากการตรวจสอบของคณะกรรมการชุดต่างๆ ทั้งจากจ.สุราษฎรธานี ปปช. กรมที่ดิน กรมป่าไม้ และอื่นๆ  ต่างสรุปตรงกันว่าการถือครองที่ดิน ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎรธานี จำนวน 5 แปลง ซึ่งเจ้าของเดิม ได้ขายให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด เรืองปัญญา คอนสตรัคชั่น และตนไปซื้อต่อมาอีกทอดหนึ่ง ไม่ได้บุกรุกป่าสงวนแต่อย่างใด

นายแทน กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เคยส่งหนังสือให้ตนไปให้ปากคำ

โดยไม่ระบุว่าให้ไปในฐานะอะไร แต่อีก 4 วันต่อมา ก็ออกหมายเรียกตนในฐานะผู้ต้องหา ให้ไปรับแจ้งข้อกล่าวหาในวันที่ 9 ก.ค.นี้ เวลา 09.30 น. โดยกล่าวหาว่าตนบุกรุกแผ้วถางทำลายป่า เข้าครอบครองป่า ทึ่ดินของรัฐ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตนจะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหา โดยจะจัดทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรไปยื่นต่อดีเอสไอ ซึ่งจะแจ้งต่อดีเอสไอว่าตนเป็นเจ้าของครอบครองที่ดิน ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จำนวน 4 แปลง และที่ดินใน ต.อ่างทอง อ.เกาะสมุย อีก 1 แปลง โดยในตอนที่ตนซื้อมาได้ให้ทนายตรวจสอบแล้ว เห็นว่าเอกสารสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ซึ่งเป็น นส.3 ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อซื้อมาก็ได้เข้าทำประโยชน์พัฒนาที่ดิน บำรุงสวนยางพาราและสวนมะพร้าว และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ต่อเนื่องมา 3 ปี จนปี 2547 ได้ยื่นขอออกโฉนดที่ดิน โดยในการรางวัดไม่ได้รุกร้ำที่ดินใคร และไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่ออกโฉนดให้ตามระเบียบกฎหมายที่ดิน

นายแทน กล่าวต่อว่า หากดูอายุต้นมะพร้าวมีอายุถึง 80 ปี แสดงได้ชัดว่ามีการเข้าทำประโยชน์ก่อนที่จะมีประมวลกฎหมายที่ดินปี 2484 

ดังนั้นการพิจารณาจึงไม่น่านำเรื่องความลาดชันมาเกี่ยวข้อง  ดังนั้นยืนยันได้ว่าตนไม่ได้เป็นผู้บุกรุก แผ้วถางหรือทำลายป่าตามข้อกล่าวหาของดีเอสไอแต่อย่างใด ส่วนที่ว่าท่าดินดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่านั้นจากการดูแผนที่ของกรมที่ดินจะเห็นว่า ที่ป่าสงวนจะอยู่บริเวณกลางเกาะ ขณะที่ที่ดินของตนอยู๋บริเวณหัวมุมเกาะ ห่างจากป่าสงวน 3 กิโลเมตร หากเทียบแล้วที่ว่าการอำเภอยังอยู่ใกล้ป่ามากกว่าที่ดินของตนอีก และพื้นที่บริเวณรอบๆ ป่าสงวนก็มีการออกโฉนดกันหมด มีการเข้าทำประโยชน์ ทำสวนมะพร้าวและโรงแรม

“ถือว่าการเจาะจงเล่นงานผมรายเดียว ผมตกเป็นเหยื่อทางการเมือง เพราะตอนแรกเขามุ่งเล่นงานพ่อผม พอเอาผิดไม่ได้ ก็มามุ่งเล่นงานผมเหมือนนิทานเรื่องหมาป่ากับลูกแกะ ไม่เข้าใจว่าเล่นงานผมมา 3-4 ปีเพื่ออะไร คงต้องการให้พ่อผม ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมืองของเขาเสียสมาธิ ท้อแท้ ไม่อยากสู้กับเขา แต่ขอบอกว่า ไม่มีทาง ถึงจะทำกับผมมากกว่านี้ พ่อผมก็ไม่หยุด และไม่ยอมแพ้กับคนเหล่านี้”นายแทนกล่าว

นายแทน กล่าวพร้อมกับเปิดคลิปเสียงของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ที่ขึ้นเวทีพรรคเพื่อไทยพบประชาชน
 
ปราศรัยเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยนายแทนกล่าวว่า ที่น่าสังเกตก่อนที่ดีเอสไอ จะออกหมายเรียกตนในฐานะผู้ต้องหา ร.ต.อ.เฉลิม ไปปราศรัยว่า จะออกหมายจับตนไม่เกินสัปดาห์หน้า และไม่เกิน 2 สัปดาห์จะมีคนถูกจับแน่นอนในเรื่องที่ดินเขาแพง  และ 4 วันหลังจากนั้น ก็มีการออกหมายเรียกตนในคดีนี้ ในฐานะผู้ต้องหา เท่ากับว่าตั้งใจดำเนินการกับตน แต่อยากบอกว่าตนไม่ใช่ “ไอ้ปื้ด” ไม่จำเป็นต้องสมมุติใครขึ้นมารับผิดแทน  เพราะที่ดินนี้เป็นของตน
 

“ที่เลวร้ายและทำให้ผมเกิดความรู้สึกโดนข่มแหง คือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ได้ออกหมายเรียกพ่อของผม ให้ไปพบพนักงานสอบสวนในคดีหมิ่นประมาท น.พ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในวันที่ 17 ก.ค.นี้ ซึ่งตรงกับวันที่ผมจะเข้าพิธีแต่งงาน การกระทำกับครอบครัวของผมอย่างนี้มันล้ำเส้นนักการเมืองไปแล้ว จึงอยากขอความเห็นใจจากประชาชน ขอให้ดูความจริงเป็นหลัก ผมไม่ได้เป็นนักการเมือง ไม่คิดเล่นการเมือง แต่ฝ่านตรงข้ามกลับพุ่งเป้าจะเล่นงานผมให้ได้ ผมโดนเรียกสอบจากกรรมการหลายชุด ทั้งที่ผมยืนด้วยลำแข้งตัวเอง ไม่ขอเงินพ่อ และพ่อก็ไม่เคยขอเงินผม ขอเรียกร้องให้เล่นการเมืองอย่างมีขอบเขต มีความรับผิดชอบ มีคุณธรรม และข้าราชการก็ควรเป็นที่พึ่งของประชาชนไม่ใช่ทำตามใบสั่ง เพราะถ้าการเมืองเปลี่ยน นายคุณเปลี่ยนก็จะลำบาก เพราะแผนที่ของกรมที่ดินยังคงอยู่อย่างนี้ตลอดไป ผมพร้อมที่จะไปชี้แจงต่อดีเอสไอ และหากขึ้นศาลได้ก็จะดี แต่เกรงว่าถ้าดีเอสไอเป็นตนชงเรื่องก็อาจจะไม่ได้รับความยุติธรรม แต่ผมก็พร้อมที่จะสู้”นายแทน กล่าวเสียงสั่นมีน้ำตาคลอเบ้า