วานนี้ เวลา 17.25 น. ในการไต่สวนคดีแก้รัฐธรรมนูญนั้น เป็นการเบิกความและซักถามในส่วนของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ
พยานผู้ถูกร้องที่ 5 ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยระบุว่า ความรู้สึกของตัวเองที่ถูกร้องในเรื่องนี้ ในฐานะหัวหน้าพรรครู้สึกเจ็บปวดเพราะเป็นไปไม่ได้เลยไม่ว่าในฐานะใดที่จะไปล้มล้างระบบการปกครอง ตนรับราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทยเป็นพสกนิการชาวไทยรับใช้แผ่นดินและพระวงศ์มาทุกตำแหน่ง
"ยืนยันว่าข้อบังคับพรรคและนโยบายพรรคเขียนตรงกันคือต้องรักษา เทิดทูนและพิทักษ์สถาบัน ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ กล้ายืนยันว่าไม่มีความคิดล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐบาลเองก็มีนโยบายเรื่องนี้ชัดเจน เช่นเดียวกับกรณีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้เคยยืนยันหลายครั้งว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีวันแก้ แตะต้อง ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคเองก็เคยมีมติยืนยันชัดเจนเช่นกัน พรรคเพื่อไทยได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เป็นเสียงข้างมาก ถ้าคิดร้ายต่อสถาบัน ไม่มีทางได้รับการยอมรับจากประขาชนแน่นอน อย่างไรก็ตามการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยไม่เคยมีมติแก้ไข แต่เป็นการประชุมของส.ส.ของพรรค" นายยงยุทธ กล่าว
จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ผู้ร้องซักถามพยานได้ ซึ่งตอนหนึ่งนายวิรัตน์ กัลศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ร้องที่ 3
ได้ซักถามว่าได้มีการพูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่งนายยงยุทธ ตอบว่า มีการพูดคุยกันบ้างในเรื่องทั่วไป แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยเข้ามาก้าวล่วง ชี้นำ ครอบงำกรรมการบริหารพรรคหรือสมาชิกพรรค นอกจากนี้นายวิรัตน์ยังซักถามต่อว่าความพยายามในการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรา 309 หากไม่ถูกแก้ไข กฎหมายปรองดองที่ยกเลิกความผิด คืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทรวมถึงการยกเลิกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) จะเกิดไม่ได้ใช่หรือไม่
นายยงยุทธ ชี้แจงว่า เป็นการคิดเองและคิดไปไกล ไม่สามารถทำนายเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดได้ จึงไม่มีความเห็น
แต่เปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนถ้าเปลี่ยนแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมของประเทศ แต่เพื่อคนๆเดียวทำไม่ได้ นอกจากนี้นายยงยุทธ ยังได้ปฏิเสธว่าไม่มียุทธศาสตร์ 2 ขาคู่ขนานระหว่างพรรคเพื่อไทยและกลุ่ม นปช.ในการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นความคิดเห็นที่ตรงกัน แต่ต่างคนต่างก็ทำงานกันไป