ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายจรัล ภักดีธนากุล ถอนตัวจากการเป็นองค์คณะพิจารณาคดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ ว่า เห็นด้วยกับการตัดสินใจถอนตัวของนายจรัล รวมทั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 2 คนในวันเดียวกันนี้ (6 ก.ค.) เพราะทั้ง 3 คนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จึงไม่น่าจะมีความชอบธรรมที่จะมาเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้ แม้ว่าการตัดสินใจจะล่าช้าไปบ้างก็ตาม อย่างไรก็ตามกรณีนี้ไม่ใช่แค่ว่าใครเคยแสดงความเห็น หรือใครเคยเกี่ยวข้องกับกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่ประเด็นสำคัญที่สุดที่ต้องยืนยันอีกครั้งคือศาลรัฐธรรมนูญกำลังดำเนินการในสิ่งที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งตุลาการทั้ง 9 คนควรจะพิจารณาประเด็นนี้เป็นสำคัญ หากยังยืนยันที่จะหยิบคำร้องตามมาตรา 68 มาพิจารณาก็จะมีผลให้ยุบอัยการสูงสุด (อสส.)ไปทันที เพราะ ออส.จะไม่มีความหมายอะไรเลย
และว่าอยากให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ที่ระบุว่านายจรัลแสดงความเห็นในฐานะนักกฎหมายก่อนที่จะมาเป็นตุลาการ ตั้งสติให้ดี อย่าแสดงอาการหิวโหยจนขาดสติปัญญาในการแสดงความเห็นต่อสังคม เพราะการแสดงความเห็นทางกฎหมายทั้งก่อนและหลังมาเป็นตุลาการจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองจะพึ่งพากระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร ตนไม่มีเจตนาจะไปทะเลาะหรือราวีด้วย แต่อยากขอร้องให้กระบวนการที่จ้องล้มรัฐบาลสงสารประเทศไทย แล้วเลือกใช้วิธีอื่นดีกว่า ดาบนี้ขอให้เก็บเอาไว้ ถ้าจะล้มรัฐบาลกันจริง ๆ ขอให้หาดาบเล่มใหม่ที่พอจะมีเหตุผลมากกว่านี้ดีกว่า
เพราะสิ่งที่พยานผู้ร้องเบิกความไม่ได้แตกต่างจากจุดยืนทางการเมืองที่ผ่านมา เนื้อหาสาระทั้งหมดที่ไต่สวนไป ไม่ได้เป็นประเด็นข้อกฎหมาย แต่ใช้ประเด็นทางการเมืองมาอธิบายกันในศาล ซึ่งตนไม่อยากให้องค์กรตุลาการหรือหน่วยงานที่มีชื่อนำหน้าว่าศาลมาแสดงออกแบบนี้ ดังนั้นรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยต้องแสดงความมั่นคงที่จะเดินหน้าต่อไป เพราะนี่ไม่ใช่การพยายามรักษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการรักษาความสมดุลและหลักการถูกต้องของอำนาจอธิปไตย ถ้าฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารหวั่นไหว และให้ฝ่ายตุลาการแทรกแซงโดยไม่มีอำนาจแบบนี้ได้ ประชาชนจะขาดที่พึ่ง ระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถเดินหน้าได้