นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ กล่าวภายหลังการประชุมเตรียมการกับภาคเอกชน
ในการร่วมคณะนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสาธารณรัฐฝรั่งเศสของ ระหว่างวันที่ 17-21 ก.ค. นี้ โดยการประชุมมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อสอบถามความเห็นจากภาคเอกชนเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรค ในการทำธุรกิจระหว่างไทย-เยอรมนี และไทย-ฝรั่งเศส และจะได้นำข้อเสนอแนะที่ได้รับไปเรียนเสนอให้นายกรัฐมนตรีทราบ เพื่อที่นายกรัฐมนตรีจะได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวเข้าหารือกับฝ่ายเยอรมนีและฝ่ายฝรั่งเศส เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจระหว่างกัน
นอกจากนี้ ยังจะได้สำรวจอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ ของไทย ที่มีความร่วมมือกับเยอรมนีและฝรั่งเศส
เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับการเชิญกลุ่มธุรกิจ/อุตสาหกรรมของทั้งสองประเทศเ และข้าร่วมพบปะหารือทางธุรกิจกับกลุ่มธุรกิจ/อุตสาหกรรมของไทยในสาขาที่มีความเกี่ยวข้องกันต่อไป ซึ่งจะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์และส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ตลอดจนเป็นโอกาสในการกระชับความร่วมมือในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบัน ไทยให้ความสำคัญกับเรื่องเทคโนโลยีสีเขียว (Green Economy-Technology) ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย
สำหรับธุรกิจ/อุตสาหกรรมที่น่าสนใจระหว่างไทย-เยอรมนี
คือ พลังงานสะอาด การเกษตรและอาหาร ชิ้นส่วนยานยนต์ การศึกษา การแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ โดยฝ่ายไทยสนใจเทคโนโลยีพลาสติกชีวภาพ และ Green Packaging ของเยอรมนี ซึ่งเป็นการผลิตพลาสติกจากสิ่งมีชีวิต สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ระหว่างการเดินทางเยือนเยอรมนี นายกรัฐมนตรีมีกำหนดเดินทางไปเยี่ยมชมหมู่บ้านพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน และสภาช่างหัตถกรรม
ซึ่งเป็นตัวอย่างศูนย์การศึกษาที่สอนอาชีวศึกษาควบคู่กับการฝึกงานจริงในสถานประกอบการ สำหรับในส่วนของธุรกิจ/อุตสาหกรรมที่น่าสนใจระหว่างไทย-ฝรั่งเศส คือ สินค้าดีไซน์ อาทิ เสื้อผ้า สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ ของชำร่วยและเครื่องแต่งกาย เป็นต้น
ทั้งนี้ เยอรมนีเป็นคู่ค้าอับดับที่ 1 ของไทยในสหภาพยุโรป ในปี 2554 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวม 9,154 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และฝรั่งเศสเป็นคู่ค้าอับดับที่ 4 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวม 4,065 ล้านดอลลาร์สหรัฐ