เมื่อถามถึงระดับความพอใจของประชาชนต่อบทบาทการวางตัวของกองทัพในเวลานี้ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.7 พอใจค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
ในขณะที่ร้อยละ 31.3 พอใจค่อนข้างน้อยถึงไม่พอใจเลย ที่สำคัญคือ ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.5 ไม่เห็นด้วยต่อการยึดอำนาจ ถึงแม้เกิดความวุ่นวายรุนแรงยิ่งขึ้นในบ้านเมือง เพราะ ไม่ช่วยแก้ปัญหา จะวุ่นวายหนักกว่าเดิม ควรปล่อยให้คนไทยเรียนรู้พัฒนาประชาธิปไตยกันไป อำนาจพิเศษไม่ช่วยอะไร บ้านเมืองเสียหาย กลัวจะพัฒนาแพ้ประเทศเพื่อนบ้าน ธุรกิจพัง นานาชาติไม่ยอมรับ ทำลายสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่เคารพประชาชน ไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไร กลุ่มคนยึดอำนาจไปก็ไปกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องเฉพาะกลุ่มอีก และจากประสบการณ์ยึดอำนาจที่ผ่านมาไม่ได้แก้ปัญหา เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 28.5 เห็นด้วยกับการยึดอำนาจ เพราะ บ้านเมืองจะได้สงบ ตอนนี้มีแต่ความวุ่นวายจะได้ช่วยยุติความวุ่นวายต่างๆ ได้ เป็นต้น
" ที่น่าเป็นห่วงคือ แนวโน้มของคนไทยที่มีทัศนคติอันตรายต่อการยอมรับ รัฐบาลที่ทุจริตคอรัปชั่นแต่ขอให้ตนเองได้ประโยชน์ด้วย ยังไม่มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ ล่าสุดยังคงอยู่ที่ร้อยละ 63.4 ในการสำรวจครั้งล่าสุด โดยในช่วงเดือนมกราคมปี 54 อยู่ที่ร้อยละ 64.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 64.6 เดือนพฤศจิกายน ปี 54 อยู่ที่ร้อยละ 64.7 เดือนมกราคมปี 55 และล่าสุดอยู่ที่ร้อยละ 63.4 เดือนมิถุนายนปี 55 โดยกลุ่มผู้ชายยอมรับรัฐบาลที่ทุจริตคอรัปชั่นมากกว่ากลุ่มผู้หญิง คือในกลุ่มผู้ชายร้อยละ 66.0 และในกลุ่มผู้หญิงร้อยละ 62.5 และที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ กลุ่มเยาวชนส่วนใหญ่คือร้อยละ 68.2 ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และร้อยละ 66.4 ที่มีอายุระหว่าง 20 - 29 ปีมีทัศนคติอันตรายยอมรับได้รัฐบาลที่ทุจริตคอรัปชั่น แต่ขอให้ตนเองได้ประโยชน์ด้วย โดยกลุ่มอาชีพสำคัญคือ กลุ่มพ่อค้าส่วนใหญ่ร้อยละ 66.7 มีทัศนคติอันตรายมากที่สุด รองลงมาคือกลุ่มนักเรียนนักศึกษาร้อยละ 67.1 " ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ระบุ
ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ กล่าวอีกว่า ส่วนระดับความวางใจต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน
พบว่า เกินกว่าครึ่งหนึ่งเพียงเล็กน้อย คือร้อยละ 51.8 วางใจค่อนข้างมาก ถึงมากที่สุดว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันที่นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะไม่มีการทุจริตคอรัปชั่น เพราะ เชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรีว่าจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น รัฐบาลกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และยังไม่เห็นข่าว ยังไม่เห็นความผิดปกติชัดเจน เป็นต้น โดยร้อยละ 48.2 วางใจค่อนข้างน้อยถึงไม่วางใจเลย เพราะ รัฐบาลยังไม่มีระบบแจกแจงความโปร่งใสในการใช้งบประมาณที่ชัดเจน ไม่เปิดโอกาสให้แกะรอยตรวจสอบรัฐบาลได้ บรรดารัฐมนตรี คณะที่ปรึกษารัฐมนตรี ผู้ติดตาม กลุ่มคนใกล้ชิดมักแสวงหาผลประโยชน์จากตำแหน่งและอำนาจ รัฐบาลปัจจุบันก็เหมือนๆ กับรัฐบาลเก่าๆ ทุกรัฐบาล นายกรัฐมนตรีลอยตัวเกินไปไม่น่าจะรู้ทันกลุ่มนักการเมืองรอบตัว และอำนาจเงิน ผลประโยชน์ซื้อได้ทุกอย่าง เป็นต้น
ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า เมื่อผลสำรวจพบว่า คนไทยส่วนใหญ่มีหัวใจรักประชาธิปไตยแล้วก็คงต้องปล่อยให้ทุกคนร่วมเรียนรู้พัฒนาประชาธิปไตยกันไป
โดยไม่ยอมให้มีอำนาจพิเศษใดๆ เข้ามาหยุดยั้งการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศได้เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้คนไทยพบว่า คนที่ได้อำนาจไปก็มักจะกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องเป็นสำคัญมากกว่าการดูแลบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม ถ้าทุกคนในบ้านเมืองมีโอกาสศึกษาเรียนรู้ระบบการปกครองของประเทศไทยเราอย่างลึกซึ้งจะพบว่า สังคมไทยจำเป็นต้องมีระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance) ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าปัจจุบันไม่เช่นนั้น คนการเมืองที่เข้ามามีอำนาจก็มีโอกาสสูงที่จะใช้อำนาจนั้นเพื่อตัวเอง ครอบครัว เครือญาติและพวกพ้องมากกว่า ดูแลสุขของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง
ผลสำรวจล่าสุดยังคงพบทัศนคติอันตรายต่อการยอมรับรัฐบาลที่ทุจริตคอรัปชั่น
แต่ทำให้ตนเองได้ประโยชน์ด้วย โดยทัศนคติดังกล่าวยังไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ คนส่วนใหญ่ยังยอมรับได้ต่อรัฐบาลที่ทุจริตคอรัปชั่นแต่ขอให้ตนเองได้ประโยชน์ด้วย เพราะมองว่า ทุกรัฐบาลก็มีทุจริตคอรัปชั่นด้วยกันทั้งนั้น และในเวลานี้ใครให้เงินให้ผลประโยชน์เพื่อความอยู่รอดก็เอาไว้ก่อน เหล่านี้เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องหันมาเอาจริงเอาจังในทุกหน่วยงานราชการและองค์กรเอกชน
“ เพื่อปิดช่องทางไม่ให้มีเงื่อนไขครบองค์ประกอบของการยึดอำนาจโดยอ้างการทุจริตคอรัปชั่นมาสร้างความชอบธรรมของการปฏิวัติยึดอำนาจ จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องทำมากกว่าการแถลงข่าวออกสื่อว่าต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น โดยหันมาเอาจริงเอาจังมากกว่าการปลุกกระแสอย่างเดียว โดยต้องเริ่มจากระดับสูงสุดลงมาและจากระดับรากฐานของสังคมคือ ความซื่อสัตย์ต้องเริ่มจากครอบครัวขึ้นไปสู่ ชุมชน และสังคมโดยรวมของประเทศ จึงเสนอให้รัฐบาลเป็นต้นแบบที่ดีนำข้อมูลเส้นทางการใช้จ่ายงบประมาณทุกอย่างจนถึงมือประชาชนระดับท้องถิ่นท้องที่ขึ้นเผยแพร่เว็บไซต์ให้สาธารณชน สื่อมวลชนตรวจสอบได้อย่างน่าเชื่อถือศรัทธา” ดร.นพดล กล่าว