ผมจะรู้หรือว่าเขาโลภขนาดนี้!จากจำลองถึงน้องแม้ว
"ผมยังจำคำนี้ได้ คุณทักษิณบอกว่า ทำได้อย่างมากก็แค่ครึ่งหนึ่งของพี่ลอง ผมรู้เลยว่าทักษิณมาถึงทางตันเพราะผม แต่ถึงทางตันแล้วผมถอย ตรงกันข้ามทักษิณกลับไปเลือกเล่นการเมืองแบบเก่าจนได้เป็นใหญ่เป็นโต"
“6 หมื่น 4 พันล้าน ผมไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะรู้ไปทำไม ผมรู้ว่าแกรวย แต่ไม่รู้ว่ามีเท่าไหร่ แกไม่เคยบอกผม และผมก็ไม่เคยถาม” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ใช้สิทธิพาดพิงโต้กลับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่วิดิโอลิงก์เข้ามาบนเวที “ครึ่งทศวรรษความจริงวันนี้” เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยระบุในทำนองว่า พล.ต.จำลองรู้ดีว่าเขาร่ำรวยจากการทำธุรกิจ ก่อนที่จะเข้ามาเล่นการเมืองจนนำไปสู่การถูกยึดทรัพย์
ก่อนหน้าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะวิดิโอลิงก์ ‘โพสต์ทูเดย์’ มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ พล.ต.จำลอง ถึงแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง รวมไปถึงการเปิดใจถึง ‘อดีตน้องรัก’ ที่ชื่อ ‘ทักษิณ’เมื่อครั้งที่เส้นทางการเมืองของคนทั้งคู่ยังไม่แยกออกจากกัน
“ตึกชินวัตรเก่าของคุณทักษิณตั้งอยู่ตรงสี่แยกราชวัตรไม่ไกลจากบ้านที่ผมพัก เขามักจะขับรถมาคุยด้วย เขาจะเรียก ‘พี่’ ตามประสาพี่น้องทหารตำรวจ วันหนึ่งก็บอกผมว่า พี่ลอง ผมพอแล้วนะกินใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด อยากจะมาทำงานการเมือง ตอนนั้นผมเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม แต่ผมเป็นคนขี้เกรงใจก็บอกไปว่า คุณน่าจะไปตั้งพรรคใหม่ จะได้ทำตามแนวทางที่ต้องการ ไม่ต้องเดินตามกฎระเบียบที่พรรคตั้งไว้ เขาหายไปพักหนึ่งแล้วกลับมาบอกว่าตั้งไม่ได้ ประกอบกับช่วงนั้นรัฐบาลต้องเปลี่ยนครม.จึงเห็นว่าน่าจะขอความดีเด่นดังของคุณทักษิณมาช่วยบ้านเมือง จึงชวนมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ” พล.ต.จำลองย้อนถึงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรี
พล.ต.จำลอง เล่าต่อว่า ต่อมามอบหมายให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแทน ด้วยเหตุผลที่ต้องการคนหนุ่มและกว้างขวางในวงการธุรกิจมากกว่า โดย พ.ต.ท.ทักษิณเดินตามนโยบายการเมืองของพลังธรรมทั้งหมด แต่สุดท้ายสูตรของพลังธรรมกลับใช้ไม่ได้ผลกับการเมืองไทยในยุคหลัง
“ไม่ซื้อเสียง ไม่แจกข้าวของแลกคะแนนเสียง ไม่โกงทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่โป้ปดมดเท็จ จ้วงจาบหยาบช้า หรือใส่ร้ายป้ายสีพรรคการเมืองอื่น แต่สุดท้ายกลับได้มาแค่ 23 ที่นั่ง ซึ่งเป็นจำนวน สส.ครึ่งหนึ่งของที่พรรคพลังธรรมเคยทำได้ 47 ที่นั่ง” พล.ต.จำลองกล่าว
ต่อมาพรรคพลังธรรมก้าวสู่จุดต่ำสุดทางการเมือง เมื่อผลการเลือกตั้งปี 2539 ออกมาปรากฏว่าได้ สส.เพียงคนเดียว คือ สุดารัตน์ เกยุราพันธ์
“ผมยังจำคำนี้ได้ คุณทักษิณบอกว่า ทำได้อย่างมากก็แค่ครึ่งหนึ่งของพี่ลอง ผมรู้เลยว่าทักษิณมาถึงทางตันเพราะผม แต่ถึงทางตันแล้วผมถอย ตรงกันข้ามทักษิณกลับไปเลือกเล่นการเมืองแบบเก่าจนได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ตอนที่เขาเปิดตัวพรรคไทยรักไทยที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีสมาชิกมาจากพลังธรรมกว่าร้อยละ 80 และก่อนจะตั้งพรรคไทยรักไทยคุณสุดารัตน์ที่เป็นเลขาพรรคพลังธรรมขณะนั้น ก็ไปตั้งกลุ่ม “พลังไทย” กวาด สก. และ สข.ไปหมดเพื่อเป็นฐานให้ทักษิณ โดยต่างรู้กันดีว่าฐานเหล่านั้นล้วนมาจากพรรคพลังธรรม”
“ถ้าตอนนั้นผมไม่ดึงเขาเข้ามาในพลังธรรม ทักษิณคงยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าจะโทษใครละก็ ผมนี่แหละเป็นจำเลยหมายเลข 1”
“แต่ผมจะรู้หรือว่าเขาโลภขนาดนี้!” จำเลยหมายเลข 1 เปรยขึ้น พร้อมกล่าวต่อว่า “ถ้าคุณมีน้องคนหนึ่ง คุณจำเป็นต้องไปรองรับตลอดชาติเลยหรือว่าเขาจะไม่โกง จะไม่โลภ และไม่ใช่ผมเห็นว่าเขาดีคนเดียว ผู้ใหญ่หลายคนก็เห็นว่าเขาเหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ ในขณะนั้น ที่เขาขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก ไม่สมควรอย่างยิ่ง เป็นการขายความมั่นคงของชาติและใช้ช่องทางกฎหมายหลีกเลี่ยงการเสียภาษี 2.6 หมื่นล้าน ถ้าผมจะเอาตัวรอด นั่งยิ้มเฉย ๆ ก็ได้เพราะเขาเป็นน้องผม ไม่ต้องมากินนอนกลางถนน 384 วัน 384 คืน แต่ผมทำไม่ได้ต้องออกมาต่อต้าน เพราะมันทำลายชาติบ้านเมือง”
ถามว่า ได้คุยกับอดีตน้องรัก บ้างหรือไม่ พล.ต.จำลอง ตอบว่า
“ไม่ได้คุย แต่เห็นเขาปราศรัยที่สนามหลวงด่าว่า พล.ต.จำลองหรือจะออกมากู้ชาติ หมาจรจัดยังเลี้ยงไม่ได้เลย จริง ๆ แล้วผมไม่เคยออกไปโฆษณาหรือขอบริจาคเรื่องเลี้ยงหมาจรจัดมา 26 ปี แต่หลังจากที่เขาปราศรัยออกไปปรากฏว่ามีคนมาบริจาคเงินช่วยผม บอกผมว่าพอเจอหน้าผมก็นึกถึงหมา เหล่านี้มาจากทักษิณที่ช่วยโฆษณา ต้องขอบคุณคนชื่อทักษิณ” จำลองเล่าพลางหัวเราะ
“โดยส่วนตัวผมชอบเขานะ ถึงฟัดกันเกือบตายก็ยังนึกอยู่ว่าเขาเป็นน้องผม แต่เพื่อส่วนรวมแล้วจะปล่อยเขาไว้ไม่ได้” พล.ต.จำลองยืนยันชัดในวันที่จุดยืนของคนทั้งคู่อยู่บนเส้นขนานที่ยากจะบรรจบกัน