"ธาริต"ไม่หวั่นถูก"สุเทพ"ร้องป.ป.ช. สอบคดีสั่งไม่ฟ้อง"จตุพร" ยันคำปราศรัยไม่หมิ่นสถาบันแค่ตัดพ้อ"อภิสิทธิ์"
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ดีเอสไอจากการมีความเห็นให้งดการสอบสวนคดีความผิดต่อความมั่นคงแห่งรัฐด้วยการล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามผังล้มเจ้าของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และสั่งไม่ฟ้องคดีนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตสส. พรรคเพื่อไทย กล่าวปราศรัยเข้าข่ายผิดมาตรา 112 โดยกล่าวว่า ส่วนตัวไม่รู้สึกเสียใจหรือน้อยใจ และยังให้ความเคารพนายสุเทพตลอดมาและตลอดไป เนื่องจากนายสุเทพเป็นผู้ใหญ่ และเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาที่ดี และรู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้ทำงานร่วมกัน และขอพูดอย่างจริงใจว่าในภาวะวิกฤติปี 2553 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ ดำเนินการหลายอย่างให้บ้านเมืองปกติได้ ขอชื่นชมและศรัทธาที่ทำภารกิจยิ่งใหญ่ให้บ้านเมืองสงบ
นายธาริต ยังกล่าวว่า สำหรับความเห็นของดีเอสไอในคดีผังล้มเจ้าและคดีนายจตุพร ยืนยันว่าดีเอสไอสอบสวนตามพยานหลักฐาน
คดีที่จะรับเป็นคดีพิเศษต้องมีที่มาที่ไปซึ่งนายสุเทพเป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)ในขณะนั้นได้นำแผนผังล้มเจ้าเข้าเป็นคดีพิเศษแสดงให้เห็นว่านายสุเทพเชื่อว่าคดีมีมูลแต่เมื่อผ่านไปกว่า 2 ปี ดีเอสไองดการสอบสวนจึงเกิดความไม่สบายใจที่ไม่เป็นไปตามความเชื่อของตนเองจึงใช้สิทธิในการกล่าวโทษ ซึ่งเป็นสิทธิที่ใช้ได้และตนเองขอชี้แจงรายละเอียดในคดีล้มเจ้าว่าแบ่งออกเป็น 2 ส่วน แม้ไม่ได้สั่งฟ้องในคดีผังล้มเจ้าทั้ง 39 รายชื่อ แต่ได้แยกการสั่งฟ้องเป็นรายบุคคลตามพยานหลักฐานจำนวน 23 คน พร้อมย้ำว่าคดีล้มเจ้าดีเอสไอไม่ได้ล้มเลิกแค่ทำตามข้อเท็จจริงที่ควรจะเป็น
ส่วนการสอบในลักษณะของขบวนการเชื่อมโยงกันมีความคาดหวังที่จะมีผู้ให้รายละเอียดได้
แต่สุดท้ายก็ไม่มีหน่วยงานใดให้การถึงที่มาของผังล้มเจ้าดังกล่าวได้เลยแม้จะมีการออกหมายเรียกรวมถึงสอบถามไปยังนายสุเทพก็ไม่ได้รับการยืนยันซึ่งก็ไม่ผิดเพราะนายสุเทพไม่ได้เป็นผู้จัดทำ เมื่อเห็นว่าการสอบสวนใช้เวลามาถึง 2 ปีแล้วไม่มีพยานหลักฐาน ดีเอสไอจึงมีความเห็นให้งดการสอบสวน ซึ่งไม่ใช่การชี้ว่าผิดหรือไม่ผิดแต่เมื่อไม่มีพยานหลักฐานก็ต้องงดการสอบสวนไว้ก่อน แต่หากมีพยานหลักฐานก็สามารถนำมาสอบต่อได้ พร้อมย้ำว่าตนเองเข้าใจนายสุเทพ เพราะหากตนเองเป็นผู้ริเริ่มก็คงต้องทำอย่างที่นายสุเทพทำ
นายธาริต กล่าวถึงกรณีการสั่งไม่ฟ้องนายจตุพรว่าในวันนี้ตนจะขอชี้แจงรายละเอียดคำปราศรัยที่เป็นปัญหาและไม่เคยพูดมาก่อนเพื่อวัดว่าจะถูกดำเนินคดีหรือไม่
ซึ่งการพูดของนายจตุพรกับพวกหากพูดเพียงประโยคเดียวว่า กระสุนพระราชทาน ไม่ว่าเป็นใครเมื่อได้ฟังก็ต้องเชื่อว่าเป็นการทำผิดมาตรา 112 และเมื่อตนเองได้ฟังครั้งแรกก็มีความเห็นเบื้องต้นว่าเข้าข่ายผิดจริงแต่ไม่เคยพูดว่าเป็นการกระทำความผิดแน่นอน แต่การตรวจสอบอย่างถูกต้องต้องฟังบริบททั้งหมด โดยนายจตุพรพูดเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงและเป็นการพูดเชิงต่อว่า น้อยใจผู้นำประเทศ ซึ่งคือนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ทั้งนี้ได้ยกตัวอย่างคำปราศรัยที่เป็นที่มาของคดีดังกล่าวว่านายจตุพรกล่าวว่า ผมเรียกร้องและได้ตักเตือนมาตลอดว่าอย่านำหน่วยทหารและทหารเสือราชินีออกมาเข่นฆ่าประชาชนเพราะจะทำให้เข้าใจว่ากระสุนที่ยิงประชาชนคือกระสุนพระราชทาน ซึ่งพยานที่ดีเอสไอเชิญมาร่วมพิจารณาคำพูดนายจตุพรและคำพูดในอดีตเห็นว่านายจตุพรไม่มุ่งร้ายถึงสถาบัน ดังนั้นเมื่อตัวเองยืนยันว่าสิ่งที่แถลงต่อสื่อมวลชนวันนี้เป็นเวลาถึง 15 นาทีจะผิดมาตรา 112 หรือไม่ เพื่อให้เป็นมาตรฐาน ทั้งนี้การลงโทษทางอาญาต้องดูเจตนาเป็นสำคัญ ดูบริบททั้งหมด
"ขณะนี้มาถึงจุดที่ต้องพูด มิเช่นนั้นสังคมจะเกิดความสับสน ผม พ.ต.อ.ประเวศน์ และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเป็นหน่วยบังคับใช้กฎหมาย อาจเป็นโชคไม่ดีของประเทศที่มีคน 2 กลุ่มใหญ่ของประเทศซึ่งมีคนสนับสนุนฝ่ายละกว่า 10 ล้านคนขัดแย้งกันอย่างรุนแรงและไม่มีแนวโน้มที่จะหันหน้าเข้าหากัน คดีที่ดีเอสไอรับผิดชอบมีความเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ไม่ว่าจะตัดสินคดีออกมาอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะถูกใจคนทั้งประเทศ ต้องมีฝ่ายหนึ่งพอใจและอีกฝ่ายไม่พอใจ ที่ผ่านมาดีเอสไอแค่ให้ความเห็น ผู้มีอำนาจสั่งคดีคือพนักงานอัยการ" นายธาริต กล่าว