"อภิสิทธิ์"ประเมินผลงาน 9 เดือนไม่ได้ตอบโจทย์ที่ทางพรรคเพื่อไทยหวังไว้ ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนการเมืองวิตกนำไปสู่ความขัดแย้ง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นถึงการบริหารประเทศในช่วง 9 เดือนของรัฐบาลว่า รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะการเพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายให้กับประชาชน แถมส่งผลกระทบไปถึงเศรษฐกิจหลายส่วนทั้งการส่งออกและเงินเฟ้อ ส่วนด้านการเมืองยังทำให้เกิดความวิตกในประเด็นที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ขณะที่จุดยืนการปรองดองไม่ชัดเจน ทั้งหมดถือว่าตอบโจทย์ประเทศไทยไม่ได้
"9 เดือนที่ผ่านมาไม่ได้ตอบโจทย์สำหรับประเทศเหมือนที่ทางพรรคเพื่อไทยเคยให้ความหวังไว้ แล้วก็หลายเรื่องนั้นสวนทางจากเดิมที่บอกว่ายกเลิกกองทุนน้ำมัน ตอนนี้ไล่เก็บเงินประชาชนเข้ากองทุนน้ำมันอย่างเดียว แล้วก็ความพยายามในการขึ้นค่าก๊าซ ค่าไฟ ก็ยังมีต่อเนื่อง แม้ว่าในขณะนี้จะมีการพยายามมาบอกว่าช่วงเดือนพฤษภาฯ จะพยายามตรึงอยู่ก็ตาม...9 เดือนนะครับ ผมคิดว่ามันก็ถ้าบอกว่าอายุรัฐบาล 4 ปีนั้น ก็ยังไม่ถึง 1 ใน 4 ผมว่าก็เป็นโอกาสดี รัฐบาลก็ไปทบทวนตนเองปรับปรุงแก้ไขเสีย"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หากรัฐบาลดำเนินการตามนโยบายที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ เงินในกระเป๋าของประชาชนคงจะไม่ลดลง
เพราะพรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะเพิ่มรายได้และจะลดรายจ่ายให้ ทั้งเรื่องค่าแรง 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท แต่ขณะเดียวกัน มาตรการที่มารองรับผลกระทบอีกด้านจากนโยบายดังกล่าวที่มีต่อผู้ประกอบการก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีคำตอบให้เขา จึงเป็นที่มาของเสียงของการสะท้อนจากนักเศรษฐศาสตร์และทางหอการค้าความล้มเหลวจุดนี้ก็ยังส่งผลกระทบมให้เกิดการทรุดลงของการส่งออก
"ในแง่ของเศรษฐกิจจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจ นายกรัฐมนตรียอมรับว่าเงินในกระเป๋าลดลง นักเศรษฐศาสตร์ต่าง ๆ ก็มองด้วยความกังวลว่าเศรษฐกิจขณะนี้เจอทั้งภาวะเงินเฟ้อ แล้วก็ดูเหมือนกับว่าจะเจอลักษณะความฝืดเคืองพร้อม ๆ กันไปด้วย ท่ามกลางความไม่ชัดเจนในเรื่องของการที่จะรักษาวินัยทางการเงินการคลัง ตั้งแต่เรื่องการแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทยมาจนถึงเรื่องของการกู้เงิน แล้วก็นโยบายประชานิยมที่ไม่มีคำตอบในเรื่องของรายได้เลย ด้านเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายน่าจะเห็นพ้องต้องกัน"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ในด้านการเมืองนั้นขณะนี้ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกในสังคมเป็นว่าความขัดแย้งกำลังลดลงหรือเราจะเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
มีแต่ความวิตกกังวลกันว่า วิธีการที่พยายามผลักดันในสิ่งเหล่านี้กำลังนำไปสู่ปมความขัดแย้งใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคม เช่นเดียวกับงานด้านสังคมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเสริมสร้างบรรยากาศการปรองดอง การส่งเสริมรณรงค์ให้ประชาชนรักเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์นั้ ซึ่งรัฐบาลมีจุดยืนที่ไม่ชัดเจน คนในรัฐบาลออกมาแสดงทิศทางอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับมีคนในแวดวงเดียวกันออกมาเดินไปในอีกทิศทาง
"มีปัญหาพื้นฐานในขณะนี้ว่ารัฐบาลมีจุดยืนอย่างไรแน่ เพราะฉะนั้นเวลาที่มีการจุดประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง อย่างเช่น เรื่องมาตรา 112 ก็ดี หรือเรื่องการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงก็ดี จะเห็นได้ว่าในทางสาธารณะก็จะต้องมีคนในรัฐบาลมาแสดงออกในทิศทางที่มันควรจะเป็น แต่ในทางปฏิบัติก็ปล่อยปละให้กับคนที่อยู่ในแวดวง หรือคุ้นเคยกับตนเองเดินไปอีกคนละแนวเลย"นายอภิสิทธิ์ แสดงความเห็น