นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวผ่านรายการฟ้าวันใหม่ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์บลูสกายแชนแนล ถึงการเดินทางไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ว่า
จะต้องค้นหาสาเหตุทั้งหมดให้ได้ เพื่อจะได้มีมาตรการที่รัดกุมมากขึ้น ทั้งนี้ ทางนิคมฯ ได้ลงทุนเรื่องการกระจายข่าว การตรวจวัดคุณภาพอากาศ รวมถึงสร้างแนวป้องกันในนิคมฯ ไปพอสมควร แต่ปัญหาที่นิคมฯ รายงานคือการซักซ้อมแผนอพยพและแผนในการปฏิบัติเวลาเกิดเหตุเช่นนี้ โดยสิ่งที่เคยย้ำสมัยรัฐบาลที่แล้ว คือเวลาเกิดเหตุฝ่ายสาธารณสุขต้องทราบก่อนว่า สารพิษหรือสารเคมีที่เกี่ยวข้องมีตัวไหนบ้าง จะได้เตรียมการรับมือถูกต้อง แต่เวลานี้ยังมีปัญหา ตนจึงเสนอให้นิคมฯ เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีในโรงงานต่างๆ เบื้องต้นไว้ อาจจะไม่ทันสมัยเหมือนข้อมูลของโรงงาน แต่จะได้สื่อสารไปได้เวลาเกิดเหตุและเตรียมระบบสำรองเรื่องกล้องวงจรปิด (ซีซีทีวี) ไว้ให้ดูจากนิคมฯ เองได้ เมื่อเกิดเหตุขึ้น
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงเหตุสารเคมีรั่วไหลว่า เหตุเช่นนี้เคยเกิดขึ้นในปี 2553 ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า อุปกรณ์หลายอย่างหมดอายุ ก็มีการสั่งรื้อแล้วกำหนดมาตรฐานใหม่ในการสร้างก่อนเปิดดำเนินการ พอมาครั้งนี้ก็เกิดปัญหาอีก ทำให้ต้องตรวจสอบดูว่าสาเหตุเป็นเช่นเดิมหรือไม่ ทั้งนี้หากเป็นเหตุการณ์เช่นเดิม ก็ควรมีบทลงโทษรุนแรงขึ้น ไม่ใช่เดี๋ยวเปิด-เดี๋ยวปิด จะให้เกิดซ้ำซากอีกไม่ได้
"อีกเรื่องที่อยากให้ดำเนินการ คือการสร้างโรงพยาบาล แล้วก็ศูนย์อาชีวอนามัย ไม่ใช่พอเกิดเหตุแล้วโรงพยาบาลมาบตาพุดรับไม่ได้ ต้องส่งต่อ รัฐบาลที่แล้วจึงมีการอนุมัติงบประมาณให้สร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ ซึ่งจะสร้างเสร็จภายในปีนี้ แต่ก็ยังมีข้อสังเกตว่าโรงพยาบาลใหม่ ไม่มีหน่วยดูแลคนที่ถูกไฟไหม้โดยเฉพาะ จะต้องส่งต่อไปที่โรงพยาบาล กทม.-ระยอง ซึ่งอยู่ห่างไปอีกกว่า 10 กิโลเมตร ให้รับไปรักษาต่อ นอกจากนี้ยังอยากให้มีการตรวจสุขภาพชาวบ้านที่อยู่ใกล้นิคมฯ เป็นประจำ ว่าได้รับผลกระทบจากสารเคมีต่างๆ ในโรงงานหรือไม่" นายอภิสิทธิ์กล่าว
หัวหน้า ปชป.ยังกล่าวว่า อยากเรียกร้องให้มีการออกกฎหมายรองรับรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสอง เรื่องสิทธิของชุมชนในการพิจารณาโครงการที่อาจส่งผลกระทบ