"กรุงเทพโพลล์" ระบุ นิรโทษกรรมไม่ช่วยปรองดอง หวั่น ออกเป็นชนวนความขัดแย้ง แนะนักการเมืองเลิกคิดถึงผลประโยชน์ตัวเอง เลิกทะเลาะ
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นเรื่อง "ความปรองดองในมุมมองของประชาชน" โดยสำรวจจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวน 1,180 คน พบว่า 37.7% ระบุว่ายังไม่เห็นบรรยากาศความปรองดองเกิดขึ้นในประเทศ ขณะที่ 28.5% ระบุว่าเริ่มเห็นบรรยากาศความปรองดองเกิดขึ้นแล้ว และ 33.8% ระบุว่าไม่แน่ใจ
เมื่อถามถึงสิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยเกิดความปรองดอง 26.7% ระบุว่า นักการเมืองต้องเลิกนึกถึงผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง 26.5% ระบุว่า นักการเมืองต้องหันหน้าเข้าหากันเลิกทะเลาะกันทั้งในและนอกสภา และ10.9% ระบุว่าคนไทยต้องเคารพและยึดกฎหมายของประเทศเป็นหลัก
ต่อคำถามที่ว่า การนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดทางการเมืองว่าจะสามารถสร้างความปรองดองได้หรือไม่
68.8% ระบุว่าไม่สามารถสร้างความปรองดองได้ (โดยให้เหตุผลว่า เป็นคนละเรื่องกัน ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา อคติยังคงมีอยู่ทุกฝ่าย แต่ละฝ่ายไม่ยอมกัน ผู้กระทำผิดต้องได้รับโทษ และเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกของคนในชาติ เป็นต้น) 31.2 % ระบุว่า สามารถสร้างความปรองดองได้ (โดยให้เหตุผลว่า เป็นการให้อภัยกัน เรื่องคงจบ เป็นการเริ่มต้นใหม่โดยหันหน้ามาคุยกัน ให้โอกาสแก่ผู้ทำผิดได้กลับตัว เป็นต้น )
ส่วนความคิดเห็นที่มีต่อการออก พรบ.ปรองดอง ว่ามีความจำเป็นต่อสังคมไทยเพียงใด พบว่า ประชาชนระบุว่าค่อนข้างจำเป็น 35.4% และ ระบุว่าจำเป็นมาก 24.9% ขณะที่ระบุว่าไม่ค่อยจำเป็น 19.3% และไม่จำเป็นเลย 20.4%
อย่างไรก็ตาม ประชาชน 51.5% ระบุว่ารัฐบาลยังไม่มีการสร้างความเข้าใจและรายละเอียดให้ชัดเจนถึงเหตุผล ความจำเป็น
และกระบวนการในการออก พรบ.ปรองดอง 40.4% ระบุว่า เข้าใจแต่ยังไม่ชัดเจน มีเพียง 8.1% ที่ระบุว่าเข้าใจชัดเจนแล้ว สำหรับความกังวลที่มีต่อการออก พรบ. ความปรองดอง ว่าจะเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีกนั้นประชาชน 42.1% ระบุว่า ค่อนข้างกังวล และ 17.4% ระบุว่ากังวลมาก ขณะที่ 26.1% ระบุว่าไม่ค่อยกังวล และ 14.4% ระบุว่าไม่กังวลเลย