อภิสิทธิ์ อัด กกต.รู้เห็นโกงเลือกตั้ง - ย้ำจุดยืนเดิมเจรจาเวทีเปิดเผย
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 มีนาคม 2549 20:28 น.
อภิสิทธิ์ เชื่อ กกต.ได้รับไฟเขียวถึงกล้าปล่อยให้มีการแก้ไขข้อมูล ระบุเสียดายเงิน 2 พันล้าน ทุ่มเลือกตั้งฟอกคนโกง ยันใช้เวทีเปิดเจรจา โดยมีสื่อเป็นสักขีพยาน ไม่อยากเกิดปัญหาสงครามสื่อตามมา
วันนี้ (17 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ ข่าวยามเช้า ถึงกรณีที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแฉว่า มีแกนนำพรรคไทยรักไทยบงการจ้างผู้สมัครพรรคเล็กลงรับเลือกตั้ง ว่า สิ่งที่พรรคเป็นห่วงมาโดยตลอด คือ ปัญหาเรื่องของความเป็นกลาง และการใช้อำนาจรัฐเข้าไปแทรกแซงต่าง ๆ โดยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ และสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้มีการเปิดรับสมัคร และพบว่า มีพรรคการเมืองต่าง ๆ จำนวนมากส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซึ่งน่าสงสัยในเรื่องของคุณสมบัติพรรคจึงได้เข้าไปตรวจสอบก็พบว่าผู้สมัครที่ต้องถูก กกต.ตัดสิทธิจำนวนมากโดยที่ขาดคุณสมบัติไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ และจากพยานเอกสารหลักฐานต่าง ๆ มีการบงการโดยบุคคลสำคัญในพรรคใหญ่ ดังนั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ กระบวนการทุจริตตรงนี้สามารถเข้าไปแก้ฐานข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ของ กกต.ได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีความหมาย 2 อย่าง คือ 1.ทำไมเจ้าหน้าที่ กกต.ที่มีส่วนไปเกี่ยวข้องถึงกล้าทำขนาดนี้ ซึ่งไม่เชื่อว่าคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติจะทำของเหล่านี้ หากไม่มีไฟเขียวมาจากที่ใดที่หนึ่ง และ 2.จะมีความมั่นใจในกระบวนการการเลือกตั้งได้อย่างไร เพราะในบางเขตคนของพรรคการเมืองใหญ่ไปบอกด้วยซ้ำว่า อาจจะให้เป็น ส.ส.เลยนะ ไม่ใช่แค่สมัครอย่างเดียว ซึ่งเป็นตัวฟ้องว่าที่พรรคพูดตั้งแต่ต้นว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ปกติก็ได้รับการยืนยันมาจากหลายเรื่องแล้วในขณะนี้ จึงมีความกังวลว่าเลือกตั้งไปแล้วในที่สุดก็จะมีปัญหาข้อกฎหมายต่างๆ ตามมาพอสมควร แล้วก็เงินที่เราใช้ในการเลือกตั้งก็ 2,000 กว่าล้าน ซึ่งเป็นประเด็นที่ตนคิดว่าแม้แต่นายกฯเองก็น่าจะต้องกลับมาคิดดูตรงนี้บ้างว่า ในที่สุดแล้วที่พยายามพูดว่ามีกติกา ได้มีการปฏิบัติที่ให้ความมั่นใจในเรื่องการให้ความสุจริต เที่ยงธรรม ตามกฎกติกา จริงหรือไม่ และสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นนี้จะมีคำตอบอย่างไร
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีหลายองค์กรเป็นตัวกลางที่จะเชิญนายกฯ ฝ่ายค้านและพันธมิตรฯมาพูดคุยกัน ว่า เงื่อนไขเดียวที่พรรคพูดถึงในขณะนี้ คือ ถ้าจะพูดคุยกันในเรื่องสาระ จะอย่างไรก็ตามต้องเป็นกระบวนการที่เปิดเผย ถ้าไม่เปิดเผยตนว่า อันตราย สมมติพูดคุยกันแล้วไม่เปิดเผย ไปปิดห้องคุยกันแล้วตกลงกันไม่ได้ ทีนี้สงครามข่าวสารตามกันมาเลย แทนที่จะทำให้ปรองดองกัน จะยิ่งแตกแยกกัน แต่ถ้าเป็นเวทีเปิดเผย ตนเชื่อในดุลยพินิจ และความรู้สึกของคนไทยที่จะเป็นสักขีพยาน หากใครก้าวร้าวหยาบคาย เชื่อว่า ในที่สุดประชาชนก็จะไม่เข้าข้าง
เมื่อถามว่า หากไม่เปิดเวทีสาธารณะ ไม่ถ่ายทอดแต่ใช้วิธีบันทึกเทปไว้ เผื่อมีปัญหาภายหลังก็เอาเทปมาอ้างอิงได้นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แล้วจะได้ประโยชน์อะไรถ้าขัดแย้งกัน
ผมไม่เห็นว่ามันจะน่ากลัวเลย ทำไมจะต้องกลัวการเปิดเผย ผมเรียนว่าในอดีต ย้อนประวัตินิดหนึ่ง สมัยหนึ่งก็มีกลุ่มผู้ชุมนุม สมัยนั้นเป็นกลุ่มเกษตรกร มาร้องเรียนอยู่ที่กระทรวงเกษตรฯ สมัยรัฐบาลท่านชวน ในที่สุดวิธีที่ดีที่สุดที่หาคำตอบได้ คือ เปิดให้สื่อมวลชนเข้าไปเป็นสักขีพยานในการเจรจา และก็น่ารักมาก ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก็พูดคุยกันแบบ ใช้เหตุใช้ผลตรงไปตรงมา ผมว่าดูถูกคนกันเกินไปนะครับถ้าไปบอกว่าเราจะต้องเจรจากันแล้วมีกล้องทีวีแล้วทุกคนก็จะไม่พูดกันเอง จะพูดกับกล้องอะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่หรอกครับ แต่ว่ามันเป็นความอุ่นใจอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เราพูดทุกอย่างด้วยเหตุด้วยผล มันจะเป็นที่รับรู้ชัดเจน ตรงกัน พร้อมกัน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีเสียงสะท้อนจากประชาชนอย่างไร เพราะส่วนหนึ่งก็บอกว่าผิดหวังที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ลงเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์ ก็มี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งก็จะมีผู้สนับสนุนพรรค อยากเลือกจะให้ทำอย่างไร แต่ว่าพูดถึงว่าสิ่งที่พรรคทำนั้นทำไปเพื่ออะไร ซึ่งกลุ่มนี้ไม่มีปัญหาเลย อีกส่วนหนึ่ง คือ กลุ่มที่ไม่สนับสนุนพรรคก็พูดสะท้อนออกมา ขณะนี้ตนก็ต้องบอกว่าความแตกต่างทางความคิดมีมาก คนรัก พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เยอะ คนที่รับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ก็เยอะ คนชอบพรรคประชาธิปัตย์ก็มี คนไม่ชอบก็มี แต่ว่าทุกอย่างต้องคลี่คลายกันด้วยเหตุด้วยผล อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมีความมั่นใจว่าหากพรรคลงรับสมัครเลือกตั้งครั้งนี้เชื่อว่า พรรคได้ ส.ส.เพิ่มอยู่แล้ว แต่ปัญหาวันนี้คือจะทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองด้วยวิธีการไหน เพิ่มจำนวน ส.ส.เข้าไปแต่ว่าระบบของบ้านเมืองเราถูกยึดไปแล้วไม่มีการตรวจสอบได้อย่างจริงจัง กับการที่บอกว่าต้องมายืนอยู่ข้างนอกเพื่อนำไปสู่การผลักดันไปสู่การปฏิรูปการเมือง อะไรจะเป็นประโยชน์กว่ากัน เพราะฉะนั้นหากทุกคนตั้งสติอยู่ และยึดมั่นว่า ปฏิบัติตามกฎหมายไม่ใช้ความรุนแรง เราก็ต้องช่วยกันคิดต่อเนื่องต่อไปว่า จะหาทางออกให้กับสังคมได้อย่างไร
ผมเชื่อว่า ไม่มีใครอยากยืดเยื้อหรอก ทั้งผู้ชุมนุมฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายคัดค้านต่าง ๆ ลำบากทั้งนั้นแหละครับ และบรรยากาศที่เป็นอย่างนี้วันนี้ก็เห็นมาเตือนว่าจะทำให้เครียด เพราะฉะนั้นโดยหลักแล้วคงไม่อยากให้ยืดเยื้อ แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องของการที่จะหาทางออก แต่ถ้าเรายังไม่ยอมรับว่าปัญหาอยู่ตรงไหนคิดแต่เพียงว่าขอให้เรื่องจบ วันข้างหน้าเราจะเจ็บกว่า เปรียบเสมือนกับว่าขณะนี้ได้ค้นพบเนื้อร้ายแล้ว แต่ว่าถ้าเรามาคิดว่าการจะตัดเนื้อร้ายแล้วมันยุ่งยาก ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ แล้ววันที่เนื้อร้ายนั้นมันลุกลามจนทำลายทุกอย่างในตัวเรา เราไม่เจ็บปวดเลยหรือ ดังนั้น ถ้ามีความยุ่งยากในการตัดมันก็ต้องตัด ถูกไหมครับ ฉันใดฉันนั้น ถ้าเกิดเราสามารถที่จะทำตรงนี้ได้ ผมว่ามันก็จะเป็นคำตอบที่ทำให้เราไม่ย้อนกลับไปอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าว