อภิสิทธิ์เผยเหตุคาร์บอมบ์ที่ใต้กระทบภาพลักษณ์ของประเทศ


วันนี้ (2 เม.ย.55) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการฟ้าวันใหม่ ทาง Blue Sky Channel ถึงการลงพื้นที่ภายหลังจากรับทราบเหตุการณ์ระเบิดที่หาดใหญ่เมื่อช่วงเที่ยงวันเสาร์ว่า ตอนที่ตนไปถึงที่เกิดเหตุนั้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ให้เข้า เนื่องจากทางกองพิสูจน์หลักฐานยังทำงานอยู่ จากนั้นจึงได้เดินทางไปเยี่ยมคนเจ็บทั้งที่ รพ.หาดใหญ่ และรพ. สงขลานครินทร์

“กลับจากหาดใหญ่เมื่อวานบ่ายครับ พอทราบข่าวในช่วงบ่ายวันเสาร์หลังจากที่มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคประชาธิปัตย์ที่เมืองทอง  และตอนแรกเราก็ทราบข่าวจากที่ยะลา แล้วก็มีข่าวว่าที่หาดใหญ่มีไฟไหม้ แล้วก็ตอนแรกเสมือนกับว่าเป็นเรื่องของแก๊ส ถังแก๊สระเบิด แก๊สรั่วอะไรต่าง ๆ จนกระทั่งช่วงบ่ายถึงเย็น ผมก็มีการพูดคุยกับหลาย ๆ ฝ่ายก็ค่อนข้างที่จะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าไม่ใช่ เป็นเรื่องของการวินาศกรรมเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นก็ตัดสินใจว่ากำหนดการเมื่อวานก็ยกเลิกที่เดิมตั้งไว้ แล้วก็จะไปที่หาดใหญ่กับยะลาแทน ก็ได้เดินทางไปเที่ยวเช้าครับ 6 โมงเช้า ลงเครื่องตอน 7 ครึ่ง แล้วก็ตอนไปที่เกิดเหตุที่หาดใหญ่ ก็ไปดู แต่ว่าขณะนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่า ยังไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ตรงที่เป็นที่จอดรถ เนื่องจากว่าทางพิสูจน์หลักฐาน ยังทำงาน แล้วก็ช่วงที่ผมไปถึงนั้นสักพัก ผบ.ตร.ก็มา ซึ่งความจริงก็คิดว่าท่านไปดูมาแล้วเพราะว่าท่านลงไปตั้งแต่คืนวันเสาร์ ท่านก็เพิ่งมา ผมก็ได้พูดคุยกับท่านนายกเทศมนตรีไปเยี่ยมเยียนที่เต้นท์ที่เป็นศูนย์อำนวยการสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วก็ผู้เกี่ยวข้องในรายละเอียดบางอย่างแล้วก็หลังจากนั้นก็เดินทางไปเยี่ยมคนเจ็บที่ รพ.หาดใหญ่ แล้วก็รพ.มอ.

ซึ่งทั้ง 2 ที่ก็จะมีคนที่สำลักควัน แล้วก็ยังต้องเข้ารับการดูแลต่อเนื่องน่าจะวันสองวันอีกจำนวนพอสมควร แล้วก็หลายคนก็โดนไฟไหม้ ไฟคลอก ซึ่งอยู่ไอซียูบ้าง อยู่ที่เขาเรียกว่า burn unit บ้าง ก็ได้เยี่ยมเยียน เสร็จแล้วก็ได้เดินทางไปที่ยะลา ก็ไปที่ยะลาก็ไปที่เกิดเหตุก่อน ก็ได้เห็นหลุมซึ่งเป็นที่ ๆ รถที่ 2 คันที่เป็นคาร์บอมบ์จอด เป็นหลุม แล้วก็อาคาร 2 ฝั่งก็พัง ก็เยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นั่น แล้วก็ได้รับผลกระทบ คุยกับท่านเทศมนตรีด้วย แล้วก็เดินทางไปที่ รพ.ยะลา ก็เช่นเดียวกันนะครับ ไปเยี่ยมคนป่วยแล้วก็มีโอกาสพบแม่ทัพภาค 4 ผู้ตรวจของกระทรวงสาธารณสุข และจากนั้นก็เดินทางกลับมาขึ้นเครื่องบินที่สนามบินหาดใหญ่ ก็พบกับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งเดินทางไปถึง”

จากนั้นได้เดินทางไปที่ที่จังหวัดยะลา เพื่อพบชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเหตุคาร์บอมบ์ พร้อมกันนั้น นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงเสื้อที่ตนใส่ ซึ่งมีการสกรีนว่า “คนยะลาไม่เอาระเบิด” นั้นว่า เป็นเสื้อที่ชาวบ้านบริเวณนั้นวางขาย ตั้งแต่ช่วงที่หาเสียงเลือกตั้งแล้ว

แน่นอนว่าคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็อยู่ในสภาวะที่นอกจากจะสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างแล้ว มีบ้านหนึ่งก็เอามาให้ผมดู บังเอิญเพิ่งขายที่ได้เงินสดมา ไหม้หมดเลย แล้วก็ทรัพย์สินตัวอาคาร ไม่ต้องพูดถึง ไหม้หมดเลย เพราะนั้นก็อยู่ในสภาวะซึ่งก็สูญเสียแล้วก็แน่นอนครับ ขวัญเสียด้วย แต่ว่าเราก็ได้ไปดูที่ซึ่งเพิ่งเกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ กันก่อน ซึ่งขณะนั้นรัฐบาลชุดที่แล้วก็ได้ดำเนินการเยียวยาแล้วก็สร้างอาคารขึ้นมา แล้วก็ได้ไปเยี่ยมเยียน ที่เห็นผมใส่เสื้อนั้นเล่าให้ฟังนิดนึง เพราะเพิ่งทราบว่าเห็นมีคนไปเขียน ไปตั้งข้อสังเกตว่าทำไมเสื้อมันสกรีนเร็วจัง ว่าคนยะลาไม่เอาระเบิด ความจริงมันมีร้านขายเสื้ออันนี้อยู่นานแล้วครับ แล้วก็ผมจำได้ครับว่าช่วงผมหาเสียงนั้น ผมแห่รถเข้าไปผ่านตรงนี้ ความจริงพี่น้องเขาก็ได้รับผลกระทบมาก่อน เขาทำร้านขายเสื้อแล้วก็มีสกรีนเสื้ออยู่แล้วครับว่า คนยะลาไม่เอาระเบิด เขาตะโกนให้ผม ชี้ให้ผมดูช่วงหาเสียงว่านี่ไปเป็นรัฐบาล หรือจะแข่งขันการเลือกตั้งให้ดูตรงนี้ด้วย เขาไม่ต้องการ ผมก็จำได้ แล้วเมื่อวานนี้เขาก็มา แล้วเขาก็บอกให้ผมใส่เสื้อหน่อย”


อภิสิทธิ์เผยเหตุคาร์บอมบ์ที่ใต้กระทบภาพลักษณ์ของประเทศ



คนนี้เขาตะโกนไว้ตั้งแต่ตอนผมหาเสียงเลือกตั้งแล้ว แล้วก็จะเห็นว่าลูกเขาก็ใส่เสื้อเด็กยะลาไม่เอาระเบิด คือเขามีความรู้สึก เมืองยะลาอย่าลืมว่ามีเหตุที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้มาหลายครั้ง ถ้าจำกันได้เหตุใหญ่เลยคือที่มาของการที่มีการออกกฎหมาย ที่เรียกว่า พรก. ในปัจจุบันด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นนี่คือสภาพความเป็นจริง แล้วผมก็จึงได้พูดคุยเหมือนกันเพราะว่าพื้นที่ในเมืองบางส่วนที่เคยโดน ขณะนี้ที่เขาทำในสิ่งที่เรียกว่า safety zone จัดระบบการจราจร มีการตั้งด่านอะไรต่าง ๆ แต่ว่าจุดที่โดนเมื่อวานนี้ ยังไม่ได้อยู่ตรงนั้น ยังไม่ได้อยู่ใน zone นั้น เพราะที่ผ่านมามีปัญหากับการทำความเข้าใจกับมวลชนอยู่เหมือนกันเพราะมันจะไม่สะดวก ผมก็เลยบอกนายกเทศมนตรี บอกกับท่านสส. บอกกับแม่ทัพนะครับว่า จริง ๆ ถ้าจะต้องเข้มงวดกวดขันอะไรนั้น เราก็จะต้องทำความเข้าใจกับประชาชน เพราะว่าทั้ง 2 กรณี จริง ๆ แล้วรถที่ใช้ในการก่อเหตุ ดูข้อมูลทุกฝ่ายจะตรงกัน ก็คือว่ารถที่เพิ่งขโมยมาวัน สองวันนี้ก็มี แล้วก็มีรถที่ขโมยมาแล้วก็ไปก่อเหตุแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเราสามารถที่จะมีมาตรการในเมืองที่เข้มงวด กวดขัน ตรวจสอบ ในเรื่องตรงนี้ได้มันก็จะช่วยลดปัญหาได้”

ต่อคำถามของผู้ดำเนินรายการที่ว่าทั้งเหตุการณ์ที่ยะลา และหาดใหญ่ นั้นเป็นการยกระดับความรุนแรงหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่อยากจะใช้คำนี้ แต่โดยสภาพความจริงแล้ว การใช้คาร์บอมบ์ต้องถือว่าเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

“ผมไม่อยากจะใช้ว่ายก หรือไม่ยกนะครับ แต่โดยสภาพความเป็นจริงก็คือว่า การใช้คาร์บอมก็ถือว่ารุนแรง แล้วก็โดยเฉพาะว่ามีการรายงานข่าวแบบนี้ออกไปในสื่อต่างประเทศ ซึ่งใครที่ติดตามสื่อต่างประเทศก็จะทราบว่า 2 วันที่ผ่านมา คนอ่านเรานึกภาพว่าเป็นชาวต่างประเทศก็คงตกอกตกใจกันเหมือนกัน อันที่ 2 เวลาเกิดเหตุที่หาดใหญ่ ซึ่งมันอยู่นอก 3 จังหวัด เวลาที่เราพูด 3 จังหวัดเราก็ไม่ได้รวมสงขลา หาดใหญ่ จริงอยู่ว่าเหตุอย่างนี้ถ้าผมจำไม่ผิด ปี 49 เคยเกิดที่สนามบิน บิ๊กซี ซึ่งตอนนั้นก็กระทบกับเมืองมาก ผมเวลาที่ลงไปหาดใหญ่ ช่วงที่เป็นนายกฯ แล้วก็ช่วงที่ผ่านมานี้ ก็มักจะพูดอยู่เสมอว่าใช้เวลานานมากกว่าจะฟื้นจากตรงนั้นขึ้นมา แล้วก็กลับมาคึกคัก ในเรื่องการค้าการขายก็ด้วยการที่ไม่เหตุ มีเหตุเกิดเมื่อปี 51 แต่ว่าเป็นระดับที่ลึกกว่า แต่ครั้งนี้ก็ต้องถือว่าใหญ่สุด ถ้ารวมกัน 2 ที่ รูปแบบอย่างนี้ก็ต้องถือว่าใหญ่แล้วก็รุนแรง แล้วก็แรงระเบิดนี่ ถ้าไปดูที่เกิดเหตุจะเห็นชัดนะครับ ก็คือที่ยะลานี่ แน่นอน ทั้ง 2 ข้างตึกลามไฟไหม้พังนะครับ ก็ในส่วนของที่หาดใหญ่ก็ถือว่ารุนแรงนะครับ เพราะว่าคงนึกออกนะครับว่า มีตรงโรงแรมข้างบนก็เป็นเหมือนร้านแมคโดนัลด์ กระจกนี่คือ แตกแล้วก็กระเด็นออกมาหมด เพราะฉะนั้นก็ต้องถือว่ารุนแรงทีเดียว

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าจากการฟังจากจนท.ตำรวจ แม่ทัพ หรือสส. ผู้บริหารท้องถิ่น ชาวบ้าน ประเมินสถานการณ์แล้วพบว่า ทุกคนเป็นห่วง และต้องการได้รับความมั่นใจในเชิงทิศทางนโยบาย และมาตรการที่จะทำให้เกิดความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

“ทุกคนก็เป็นห่วงนะครับ ก็อย่างที่บอกต้องถือว่าครั้งนี้รุนแรง แล้วก็สิ่งที่เขาต้องการที่จะได้รับก็คือความมั่นใจในเชิงทิศทาง ในเชิงนโยบายแล้วก็มาตรการที่จะทำให้เกิดความมั่นใจในความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น จริง ๆ แล้วในเชิงของคดี ก็ต้องบอกว่ามีวงจรปิด มีรายละเอียดอย่างที่เล่าให้ฟังเมื่อสักครู่ว่ามีรถอะไรต่าง ๆ ก็ดูเหมือนกับว่าน่าจะมีโอกาสในการที่จะจับคนร้ายได้ เพราะภาพต่าง ๆ ก็มีอยู่ แต่ว่าสิ่งสำคัญก็คือว่าทำยังไงในเชิงนโยบาย ซึ่งเราก็พูดคุยในรายการนี้หลายครั้ง สภาฯ ก็เพิ่งอภิปรายกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่เตือนกันไว้ว่าถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีมันมีสัญญาณอยู่ว่า เหตุต่าง ๆ มันอาจจะรุนแรงขึ้น

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ให้ความเป็นธรรมกับสายข่าว เพราะแม้จะพอทราบเบาะแสล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นจุดนั้นจริง ๆ ดังนั้นเรื่องสำคัญจะอยู่ที่นโยบายหลักว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถปรับปรุงได้มากกว่า

“คือ ผมให้ความเป็นธรรมนะครับ จริง ๆ แล้ว เวลาที่บอกว่าเรารู้ก่อน ไม่รู้ก่อนอะไรต่าง ๆ หลายครั้งในแง่ของข่าวนั้น คือคำว่ารู้นั้น คืออาจจะรู้ว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดเหตุในช่วงนี้ ในบริเวณนี้ แต่ถามว่ารู้ขนาดที่ว่าจะเป็นบ่ายโมงครึ่ง ณ บริเวณถนนไหนอย่างไรนั้น มันไม่ 100% หรอกครับ เพราะฉะนั้นตรงนี้ เท่าที่ผมสอบถามมา คงไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีเบาะแสอะไรมาก่อนเลย ฟังดูจากเจ้าหน้าที่แล้วคิดว่ามี แต่คงไม่ได้ละเอียดถึงขั้นที่จะสามารถรับรู้ได้ว่าตรงนั้น ตรงนี้อย่างชัดเจน ก็ทำให้หมายความว่าการที่จะไปบอกว่าป้องกัน ณ จุดนั้นจริง ๆ ในทันทีอะไรต่าง ๆ ก็คงไม่ง่าย แต่ว่าแน่นอนครับ เรื่องการข่าวก็ดี เรื่องการประสานงานก็ดี แต่ว่าสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของนโยบายหลักว่าทำอย่างไรถึงจะสามารถที่จะปรับปรุงได้”



อภิสิทธิ์เผยเหตุคาร์บอมบ์ที่ใต้กระทบภาพลักษณ์ของประเทศ


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์