สรรพากรย้ำชัดทักษิณไม่ต้องจ่ายภาษีขายหุ้นชิน

นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กรมสรรพากรได้ศึกษาแนวทางกฎหมายพร้อมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ข้อสรุปแล้วว่า

การซื้อขายหุ้นดังกล่าวไม่ต้องเสียภาษีจากการซื้อขายหุ้น เพราะถือว่าเป็นการซื้อขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ เพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองได้ตัดสินแล้วว่า เจ้าของหุ้นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดังนั้นจึงถือว่าธุรกรรมตัวแทนระหว่างทางไม่ได้เกิดขึ้นจริง การซื้อขายหุ้นระหว่างบริษัทแอมเพิลริช กับนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร จึงเป็นนิติกรรมอำพราง ไม่ได้เกิดรายการซื้อขายจริง เพราะหลักในการคิดภาษีของกรมสรรพากรคิดรายการนอกตลาดและเป็นรายการระหว่างทางที่จะมีการเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

ทั้งนี้ หลักการคิดภาษีของศาลภาษีอากรกลาง จะพิจารณาตามกฎหมายแพ่ง ซึ่งมีมาตราหนึ่งระบุว่า

หากเป็นกรณีคู่เดียวกันเนื้อหาเดียวกันแล้ว ศาลฎีกาตัดสินให้ผิด ให้ยึดตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งในกรณีนี้ ศาลได้ตัดสินไปแล้วว่าหุ้นเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงถือว่าตัวแทนที่เกิดขึ้นในระหว่างทางนั้นไม่มี ถือเป็นการซื้อขายหุ้นในตลาดที่ไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งกรมสรรพากรได้รับการยืนยันจากทางตลาดทรัพย์เป็นลายลักษณ์อักษรมาแล้ว

“การที่เราจะนำเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาพูด ต้องดูองค์ประกอบให้ครบ ไม่ใช่หยิบเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วมาพูด ซึ่งเรื่องนี้หากมองตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางจะเห็นว่า เมื่อศาลตัดสินว่าหุ้นเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้วนำมาขายผ่านในตลาดหุ้น โดยผ่านตัวแทน เราก็ได้หารือกับทั้งตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักคดีและกฎหมาย และทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า กรณีดังกล่าวเป็นการขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีอยู่แล้ว แต่ก็เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า เราจะไม่หลุดรอดในประเด็นใดไป ก็เลยให้สำนักกฎหมายไปพิจารณาในมุมมองกฎหมายอีกครั้ง เพื่อให้ครบถ้วน ก่อนที่จะหมดอายุความในวันที่ 31 มีนาคมนี้” นายสาธิตกล่าว

ส่วนกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.ฝ่ายค้าน ออกมาระบุว่า กรมสรรพากรให้สิทธิลดหย่อนน้อยเกินไปเพียงปีละ 6 หมื่นบาท
 
นายสาธิตกล่าวว่า เป็นเพียงส่วนลดค่าใช้จ่ายที่แต่ละคนจะได้รับเท่านั้น แต่สรรพากรยังมีรายการหักลดหย่อนอื่นๆ อีกถึง 19 รายการ และยังมีอัตรา 0% ไปอีกช่วงหนึ่งด้วย ซึ่งหากมองในแง่การเสียภาษีที่คิดค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว จะต้องเป็นผู้มีรายได้เดือนละ 2 หมื่นบาท หรือปีละ 2.4 แสนบาท จึงจะได้เสียภาษีเงินได้บาทแรกให้กับกรมสรรพากร จึงไม่ใช่ตัวเลขอย่างที่นายชูวิทย์พูดถึงแต่อย่างใด