เมื่อวันที่ 23 ก.พ. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการทำงานการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า
าจะเป็นฝ่ายแค้น มากกว่าฝ่ายค้าน เพราะสิ่งที่เห็นชัดคือพยายามจะขัดขวางการทำงานของรัฐบาล เช่น การยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพ.ร.ก.ทั้ง 2 ฉบับว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งระหว่างทางก็ออกมาท้าทายข่มขู่ตลอดว่า ถ้าขัดรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ ต้องลาออก ต้องยุบสภา จึงขอถามว่าพฤติการณ์ดังกล่าวที่ทำให้ประเทศชาติและประชาชนเสียเวลาไป 2-3 สัปดาห์เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์ได้สมแค้น มันลงทุนสูงเกินไปหรือไม่
จึงขอเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่ทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศ และขอให้หยุด ความแค้น อย่างน้อย 5 ข้อ
คือ 1.แค้นขัดขวาง พ.ร.ก.ซึ่งเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัย์จะรับผิดชอบทางการเมืองอย่างไร เพราะมีเจตนาถ่วงเวลาเพื่อให้รัฐบาลเสียคะแนนทางการเมือง หากน้ำมาแล้วไม่มีงบประมาณในการบริหารจัดการ 2. แค้นขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยใช้วาทกรรมเก่าๆที่ว่าแก้เพื่อคนคนเดียว ทั้งที่ครั้งนี้ ยึดโยงกับประชาชนทุกภาคส่วนและมีกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย 3.แค้นกรณีที่นายกรัฐมนตรีไปยังโรงแรมโฟร์ ซีซั่น โดยพยายามยักลงต่ำ จนพรรคประชาธิปัตย์ถูกนักวิชาการด้านสื่อมวลชนวิพากษ์ว่าขาดจริยธรรมเสียดสี ดูหมิ่น และเมื่อสังคมประณาม ก็มาเบี่ยงเบนเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน มาทำลายความน่าเชื่อถือ 4. แค้นจึงโจมตีนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามยาเสพติดว่าเป็นการจัดฉาก ทั้งที่เป็นของจริงล้วนๆ 5.แค้นการที่พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่สนับสนุนนโยบายปรองดอง กิจกรรมรักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย
นอกจากนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นของเอแบคโพลล์ เรื่องความนิยมของสาธารณชนต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ระบุว่าสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 41.8 ในขณะที่ความนิยมต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เหลืออยู่แค่ร้อยละ15.1 จึงถึงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องปฏิรูปตัวเอง หยุดความแค้นแล้วค้านสร้างอย่างสร้างสรรค์ มิฉะนั้นก็หมดเวลาสำหรับพรรคประชาธิปัตย์