เจาะใจ รัฐมนตรีไพร่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อยู่เบื้องหลังส่งเสบียง นายใหญ่

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ - รัฐมนตรี “ป้ายแดง” ผู้มีหมวกอีกใบเป็น “แกนนำเสื้อแดง” พูดคุยกับ “มติชนทีวี” ถึงบทบาทที่เปลี่ยนไป แม้เขาจะยืนยันว่า ตัวเองยังเป็น “ไพร่เหมือนเดิม” 


มีคนตั้งข้อสังเกตเยอะเรื่อง “ไพร่” มีทรัพย์สินเป็นล้าน

    

ก็เพราะคิดกันแบบนี้ไงครับ การกดขี่จึงยังดำรงอยู่ ก็เพราะคิดกันแบบนี้ ประชาชนจึงต้องเป็นฝ่าย เจ็บ จน แล้วก็ช้ำอยู่ตลอดเวลา ก็ทำไมละครับ คนที่มันเป็นประชาชน คนที่มันเป็นไพร่ มันจะมีฐานะ มันจะสร้างเนื้อสร้างตัวไม่ได้ ก็ทำไมคนที่เป็นอภิสิทธิ์ชนเท่านั้นหรือ จึงจะต้อง มีทรัพย์ศฤงคาร มากมายไว้ในบ้าน 
    

ก็คนที่เป็นไพร่ ทำมาหากินอย่างสุจริตใช้ความรู้ความสามารถกัดฟันต่อสู้ชีวิตด้วยตัวเองมา ถ้าเขาไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากกลไกรัฐ ถ้าเขาไม่ถูกกดทับจากระบบสังคมไทยที่ ไม่ยินยอมให้ชนชั้นล่างได้ยืดแข้งยืดขาได้อย่างสุดเหยียดออกมา ผมว่าก็น่าจะดีใจด้วยซ้ำไปที่ตาสีตาสาชาวไร่ชาวนา เขาจะได้ลืมตาอ้าปาก เพราะคำว่าไพร่หรืออำมาตย์ มันไม่ได้วัดกันที่เงินฝากในบัญชีธนาคาร ไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่งหน้าที่การงานนะครับ มันวันกันตรงจิตวิญญาณหรือรูปการณ์จิตสำนึก ว่าคุณเห็นคนด้วยกันเท่าเทียมกันหรือเปล่า 
    

คุณเห็นว่าคนอื่น เป็นคนที่คุณต้องเคารพและยอมรับ ในสิทธิในเสรีภาพของเขาหรือไม่ ถ้าคุณเห็นใครก็ตามอยู่ต่ำกว่า เป็นคนโง่ เป็นคนที่ไม่มีความพร้อม ไม่รู้เท่าทัน แล้วคิดว่าจะทำอะไรกับพวกเขาก็ได้ ตรงนั้นต่างหากคือสิ่งที่จะอธิบายว่าใครเป็นไพร่ ใครเป็นอำมาตย์


ตอนนี้เป็นรัฐมนตรีแล้วคิดว่าตัวเองเป็นไพร่หรืออำมาตย์
    

ผมยังมั่นใจว่าผมเป็นไพร่อยู่ ไม่ว่าจะมีสถานะตำแหน่งใด แล้วผมคิดว่าไพร่สามารถจะเป็นอะไรได้ทุกอย่าง ในประเทศนี้ ตราบเท่าที่กฎหมายอนุญาต และตราบเท่าที่วิถีทางประชาธิปไตยยอมรับ ไพร่เป็นได้หมดครับ ไพร่เป็นเศรษฐีก็ได้ ไพร่เป็น ส.ส. ก็ได้ ไพร่เป็นผู้ร้ายก็ได้ เป็นได้ทุกอย่างครับ แต่ถ้าเป็นผู้ร้าย กฎหมายเขาไม่รองรับเท่านั้นเอง


เจาะใจ รัฐมนตรีไพร่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อยู่เบื้องหลังส่งเสบียง นายใหญ่

ตอนนี้เป็นรัฐมนตรี มีอำนาจรัฐ อยู่ในฝ่ายบริหาร ทำไมคิดว่าตัวเองเป็นไพร่ ยังไม่เป็นชนชั้นนำเหรอ 
    

ยังหรอกครับ เพราะพี่น้องที่ร่วมขบวนต่อสู้กับผมมา ยังเรียกร้องและแสวงหาประชาธิปไตย เพราะประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ ยังมีความรู้สึกว่าตัวเอง ยังไม่ได้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง
    

ผมเป็นคนพวกเดียวกับเขา มันไม่ได้หมายความว่าตำแหน่งรัฐมนตรีจะทำให้ผมสมบูรณ์พูลสุข แล้วก็ไปรู้สึกเอาเองว่าผมถึงพร้อมแล้วซึ่ง ทุกอย่างที่เรียกร้องต่อสู้ ...ไม่ใช่
    

ถ้าเราจะเดินข้างหน้าไปด้วยกัน เราก็ต้องไปพร้อมกันทั้งขบวน และนั่นหมายถึงประเทศนี้ต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มันถึงจะเกิดขึ้น  


มองว่าตำแหน่งอำนาจไม่ใช่ของที่แน่นอน 
    

มันจะแน่นอนได้ยังไงละครับ ก่อนที่ผมจะมาเป็น รมช.เกษตรฯ ก็มีพี่ชายผมคนหนึ่งนั่งเป็นอยู่ก่อน 4-5 เดือน ผมก็เข้ามาเป็น แล้วก็ไม่ทราบว่าอีกกี่เดือน ผมจะยังเป็นรัฐมนตรีอยู่หรือไม่ หรือจะมีใครมาเป็นต่อจากผมยังไง หรือผมจะเป็นยืดยาวต่อไปจนรัฐบาลหมดสมัย 
    

สิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติ ล้วนแต่เป็นบทบาท ที่เมื่อเราเลือกจะเดินบนเส้นทางการเมือง เราก็ต้องรับผิดชอบเมื่อมันมาถึง แต่มันไม่ได้เป็นสิ่งที่จะผูกยึด หรือครอบงำเราเอาไว้กับหัวโขน หรือกับบทบาทสมมุติเหล่านี้มันไม่ใช่ เราเป็นประชาชน เราต่อสู้มากับประชาชน แล้วคนที่ร่วมต่อสู้กับเราอยู่จำนวนมหาศาลยังไม่ถึงจุดที่เขาต้องการ 


ต้องทิ้งระยะห่างกับ นปช.ไหม
    

กับพี่น้องแกนนำ หรือพี่น้องประชาชนชาวเสื้อแดงก็ยังใกล้ชิดแนบแน่นกันเหมือนเดิม เพื่อนมิตรแกนนำหลายคนก็ยังมีโอกาสสังสรรค์กันอยู่ บางคนก็ได้มีโอกาสทำงานการเมืองด้วยกันในกระทรวง 
   

ส่วนพี่น้องเสื้อแดงบางคนที่เขามาหาที่กระทรวงก็ได้ต้อนรับขับสู้พูดจาปราศรัยกัน เป็นแต่เพียงว่าเวทีหรือกิจกรรมของ นปช. ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ ผมก็คงจะผ่อนบทบาทลง 
    

แต่ว่ามันไม่ได้หมายความว่าเราจะยุติจิตวิญญาณของคนเสื้อแดง หรือยุติแนวทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่บทบาทและสถานการณ์ทำให้เราต้องปรับท่าทีบ้างเท่านั้น 
 

แต่ยังร้องเพลงได้ 
    

ครับ ก็ร้องรำทำเพลงได้ พบปะพูดคุยกันได้ พี่น้องเพื่อนฝูงที่เขาเป็นแกนนำเขาก็ไปทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว คือคนเสื้อแดงไม่ได้ผูกยึดกับแกนนำคนหนึ่งคนใด
    

มันไม่ได้หมายความว่าที่เขาเดินมาจนถึงวันนี้เพราะเขาเดินตามหลังผมมา หรือเดินตามหลังคุณจตุพร หรือเดินตามหลังใครมา ไม่ใช่ 
    

เขาเดินตามจิตวิญญาณและอุดมการณ์ประชาธิปไตย เพียงแต่พวกผมเดินอยู่ข้างหน้าพวกเขาเท่านั้นเอง หมายความว่าวันหนึ่งวันใดก็ตามพวกผมเดินผิดทาง เขาก็จะไม่เดินตามไปด้วย เขาก็จะเดินตามธงประชาธิปไตยซึ่งนำพวกเราไปทั้งหมด เพราะฉะนั้นเวลาที่ผมต้องทำบทบาทแกนนำเต็มรูปแบบ ผมก็จะทุ่มเทเต็มที่กับมัน แต่ถ้าถึงเวลาที่ผมต้องปรับบทบาทบ้าง ก็เชื่อว่าพี่น้องร่วมขบวนจะเข้าใจ

ในโอกาสเดียวกันทีม “มติชนทีวี” ก็ได้พูดคุยกับ “รัฐมนตรีไพร่” ในอีกมิติหนึ่ง สะท้อนชีวิตนอกเวทีการเมืองของผู้ชายที่ชื่อ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”

ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังรับตำแหน่ง
    

“ณัฐวุฒิ” ตอบอย่างไม่ลังเลว่าสิ่งที่ต้องปรับตัวอย่างแรกหลังรับตำแหน่งคือ “การบริหารเวลา” จากเดิมที่เคยเลี้ยงสังสรรค์จนดึกกับพี่น้องเพื่อนฝูง ตื่นตอนสายๆ ก็เว้นเสียเกือบหมด และหันมาทุ่มเทกับการศึกษาข้อมูลในภารกิจที่รับผิดชอบ พูดคุยกับผู้คนที่มีความรู้มากขึ้น เพื่อนำมาเป็นต้นทุนความคิด นำมาเป็นมุมมองสำหรับกำหนดนโยบายหรือประกอบการตัดสินใจ


“ถือเป็นโอกาสที่ผมจะได้พัฒนาตนเองขึ้น  เป็นโอกาสที่ผมจะได้พิสูจน์ความมุ่งมั่นตั้งใจของเราอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าเราเอาจริงกับมัน แม้ว่าจะเป็นงานที่ไม่คุ้นเคย ไม่ถนัดนัก เราจะผ่านมันไปได้หรือเปล่า ก็เหมือนกับที่ผมเข้ามาในเวทีการต่อสู้ทางการเมืองใหม่ๆ เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวทางการเมืองเท่าไหร่นัก แต่เห็นประชาชนเขาเอาจริง เขาทุ่มเท

ฟังแกนนำหลายๆ คนพูดบนเวทีแล้วมีมิติข้อมูลที่หลากหลาย ผมก็เลยหันหน้าเข้าหาโลกตำรา โลกข้อมูล อ่านหนังสืออย่างหนัก อ่านอย่างจริงจัง จนในที่สุดก็เกิดความรู้ความเข้าใจทางการเมืองเพิ่มขึ้น แล้วก็เอามาใช้บนเวทีพูดจาปราศรัยทางการเมืองได้

     

“ผมไม่เคยกังวลกับคำว่าแรงเสียดทานหรือแรงกดดัน เพราะว่าผมเจอมาจนคิดว่าไม่ต้องไปวิตกกังวลกับมัน ผมคิดว่าสิ่งเหล่านั้นคือความท้าทายของชีวิตต่างหาก ที่ยิ่งวิพากษ์วิจารณ์ยิ่งกดดัน เรายิ่งต้องผ่านมันไปให้ได้ มันเป็นแรงขับ ไม่ใช่แรงกด"


ขณะที่บทบาทของความเป็น “ผู้นำครอบครัว” ก็เป็นเรื่องที่ทิ้งไม่ได้


“จริงๆ ผมมีเวลาอยู่กับภรรยาและลูกน้อยอยู่แล้ว พอมาเป็นรัฐมนตรีก็ดูเหมือนจะมีเวลาน้อยลงไปอีก แต่อย่างน้อยที่สุดก็ยังได้อยู่บ้าน เข้าบ้านเร็วขึ้น การได้นั่งอ่านหนังสือ ดูข้อมูล นั่นก็ถือเป็นเวลาที่เราได้ใช้อยู่ร่วมกัน ครอบครัวเองก็เข้าใจ ไม่ใช่ว่าเป็น สส.หรือรัฐมนตรีแล้ว ผมจะไม่ได้อยู่กับเขา ตอนเป็น นปช. ยิ่งแทบจะไม่ได้อยู่บ้านเลยด้วยซ้ำ”


"ร้านเยี่ยมใต้" 
    

ไอเดียเปิดร้านอาหารใต้ในชื่อ “เยี่ยมใต้” เกิดขึ้นระหว่างที่ “ณัฐวุฒิ” อยู่ในเรือนจำ โดยภรรยาหรือ “คุณแก้ม” เป็นผู้เสนอ ตอนนั้นเขาเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะกังวลว่าจะไม่มีเวลาให้ลูกๆ
    

จนสุดท้ายความฝันของภรรยาก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ด้วยความตั้งใจจริงและทุ่มเท ทำให้ทุกวันนี้ร้าน “เยี่ยมใต้” กลายเป็น “ห้องอาหาร” สำหรับครอบครัว “ใสยเกื้อ” ที่ พ่อ แม่ ลูก ได้มาใช้เวลาร่วมกัน
    

เมื่อถามถึงแขกในแวดวงการเมืองที่มีโอกาสเข้ามาชิมรสชาติอาหารในร้าน “ณัฐวุฒิ” ก็ไล่ชื่อให้ฟัง ทั้ง “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์” “ประชา พรหมนอก” “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์” และอีกหลายต่อหลายท่าน


แต่ที่เด็ดสุดคือบริการจัดส่งอาหารไปให้ “ลูกค้าคนพิเศษ” อย่าง อดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร”


"ได้มีโอกาสส่งอาหารร้านเยี่ยมใต้ ไปฝากท่านนายกทักษิณที่ดูไบ รอบแรกพอส่งไปถึงท่านได้ไม่กี่วัน ท่านก็โทรกลับมา บอกว่า โอ้โห ไม่ได้กินอาหารใต้นานแล้ว เผ็ดมาก แต่อร่อย ก็เลยส่งไปให้ท่านอยู่เรื่อยๆ เมนูโปรดของท่านคือแกงส้ม คั่วกลิ้งหมู มัสมั่นไก่ จริงๆ ท่านทักษิณ คงมีคนส่งอาหารไทยหลากหลายภูมิภาคไปให้ตลอดอยู่แล้ว ผมก็เพิ่มอาหารแนวปักษ์ใต้ไปให้ท่านได้ลองชิมดู จะได้คลายความคิดถึงบ้าง"


พร้อมกันนี้ อดีตแกนนำเสื้อแดงผู้มีโอกาสเดินบนเส้นทางการเมืองยังยืนยันหนักแน่นว่าร้าน “เยี่ยมใต้” เป็นกิจการของภรรยา มีค่าเช่า มีบัญชี ซึ่งได้แจ้งอยู่ในบัญชีทรัพย์สินเรียบร้อยแล้ว
    

สำหรับแนวคิดเรื่องการขยายสาขานั้น เขาตอบว่า


“คงแล้วแต่ทางเจ้าของร้าน คงต้องรอดูไป แต่ว่าเท่าที่เห็นก็มีพัฒนาการขึ้นเป็นลำดับ คือมีลูกค้ามาอุดหนุนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็มีคนหน้าตาใหม่ๆ เข้ามา แล้วส่วนใหญ่พอเข้ามาแล้วก็จะกลายเป็นลูกค้าประจำ ภาษิตของนักขายที่เขาพูดกันข้อหนึ่งก็คือการซื้อครั้งแรก มันไม่สำคัญเท่ากับการซื้อซ้ำ เพราะฉะนั้นการแวะเข้ามากินครั้งแรก อาจจะมาด้วยหลายเหตุผล เพื่อนชวนมา หิวจัด ไม่รู้จะไปไหน ตาลายพลัดหลงเข้ามาก็แล้วแต่ แต่ว่าถ้ามากินแล้วครั้งหนึ่งยังมากินต่อเป็นครั้งที่สองครั้งที่สามก็ถือว่าร้านนี้มีดีพอที่จะเชิญชวนคนเข้ามาได้”


ส่วนธุรกิจอื่นๆ นั้น ตอนนี้ “ณัฐวุฒิ” บอกว่า บทบาทนักการเมืองแทบเอาเวลาทั้งหมดของชีวิตเขาไปแล้ว จนแทบไม่ได้คิดเรื่องอื่น

“แต่หากเกิดวันหนึ่งมีจังหวะที่ชีวิตอยากทำอะไรขึ้นมามากๆ ก็อาจจะลงมือทำ”

เวลาว่าง-เทคนิคดูแลตัวเอง
    

จากแกนนำเสื้อแดงที่ยืนปราศรัยบนเวทีได้ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย มาสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่แม้จะไม่เหนื่อยกายเท่าบทบาทแรก แต่ก็ต้องยอมรับว่าภารกิจหลังเต็มไปด้วยความเครียดไม่น้อย
    

ทว่าในเย็นวันสัมภาษณ์ทีมข่าวกลับได้เจอ “รมช.กระทรวงเกษตรฯ” ที่หน้าตาแลดูแจ่มใส จึงอดไม่ได้ที่จะถามเทคนิคการดูแลตัวเอง


“ตอนอยู่ในเรือนจำ ผมให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายมาก เพราะมั่นใจว่าสภาพจิตใจไม่มีปัญหา จะขังกี่เดือนกี่ปีให้ว่ามา แต่สภาพร่างกายต้องรักษาไว้ให้ได้ เพราะในนั้นคนอยู่แออัด โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็รุมเร้า เบียดเบียนได้ง่าย ตื่นเช้ามาก่อนเข้าแถว ผมก็วิ่งออกกำลงกาย บ่ายๆ เยี่ยมญาติเสร็จ ก็ซ้อมมวยที่เวทีมวย”


กระทั่งออกมาใช้ชีวิตนอกเรือนจำก็ยังติดนิสัยชอบออกกำลังกาย ถึงขนาดซื้อ “กระสอบทราย” มาแขวนไว้ที่บ้าน รวมไปถึง “สายพานสำหรับวิ่ง” เรียกได้ว่าที่บ้านเป็นเหมือนศูนย์กีฬาครบวงจร


“การออกกำลังกายทำให้ร่างกายเราสดชื่น เวลาทำงานอะไรหนักๆ หรือลุยอะไรหนักๆ นานๆ ก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย สามารถยืนหยัดกับภารกิจต่อไปได้เรื่อยๆ”


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์