นางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum ครั้งที่ 42 ระหว่างวันที่ 27 – 28 มกราคม 2555 ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ภายหลังเสร็จสิ้นการเยือนสาธารณรัฐอินเดียอย่างเป็นทางการ
วันนี้ (27 มกราคม 2555) เวลา 10.50 น. นาง ฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ของการเข้าร่วมประชุม รวมถึงกำหนดการของนายกรัฐมนตรี สรุปดังนี้
การประชุม World Economic Forum หรือ WEF ถือเป็นเวทีการประชุมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะรวบรวมผู้นำประเทศ ผู้บริหารสูงสุดของภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชนชั้นนำประมาณ 2,500 คน จากทั่วโลก เพื่อเข้าร่วมพบปะ หารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน และเพื่อเป็นการชี้ให้เห็นถึงปัญหาใหญ่ของโลก แนวโน้ม และแนวทางการแก้ไข โดยในปีนี้ หัวข้อหลักของการประชุม WEF ครั้งที่ 42 คือ “The Great Transformation: Shaping New Models” ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความกังวลของผู้นำโลกถึงความซับซ้อนและความเชื่อมโยงของประเด็นต่างๆ ในโลกภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก และยังเป็นการเห็นถึงโอกาสในการเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบการเจริญเติบโตแบบใหม่ รวมทั้งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเมืองในอนาคต
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการเข้าร่วมประชุมของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เพื่อยกระดับภาพลักษณ์และสร้างวิสัยทัศน์ที่ดีให้แก่ประเทศไทย และสร้างความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยภายหลังอุทกภัยว่าภาคเอกชนของไทยยังคงมีความเข้มแข็งและยังคงเป็นผู้นำตลาดโลก รวมทั้งประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพการประชุม WEF on East Asia ระหว่างวันที่ 30 พ.ค. – 1 มิ.ย. 2555 ที่ประเทศไทย
โดยในเวที WEF ครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเข้าร่วมใน 3 เวทีหลัก ได้แก่ การเข้าร่วมการหารือโต๊ะกลมระหว่างอาหารกลางวัน IGWEL ร่วมกับผู้นำ และผู้บริหารระดับจากภาคเอกชนทั่วโลก ในหัวข้อ ‘Defining the Imperatives for 2012’ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การกล่าวถ้อยแถลงเปิดการหารือและอภิปรายในหัวข้อ ‘Women as the Way Forward’ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับค่านิยมและรูปแบบการเป็นผู้นำของสตรี และการกล่าวถ้อยแถลงเปิดการหารือ พบและพูดคุยกับ CEO ของบริษัทต่างๆ ในหัวข้อ ‘Public Private Interaction on Thailand’ เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย การวางแนวนโยบายไทยในการบริหารจัดการน้ำ รวมทั้งการปฏิรูปประเทศไทยในระยะยาวอีกด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีจะได้พบปะหารือทวิภาคีกับผู้นำประเทศต่างๆที่เข้าร่วมการประชุม ได้แก่ ประธานาธิบดีโปแลนด์ ประธานาธิบดีแทนซาเนีย ประธานาธิบดีสมาพันธรัฐสวิส และนายกรัฐมนตรีปากีสถาน ผู้นำภาคเอกชนจากบริษัทต่างๆ เช่น Sumitomo Chemical บริษัท Coca-Cola บริษัท SwissRe รวมทั้งการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนชั้นนำ ได้แก่ สำนักข่าว CNBC สำนักข่าว Euronews และ หนังสือพิมพ์ Financial Times ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะได้ใช้โอกาสนี้ สร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย ทั้งด้าน การเมือง เศรษฐกิจ และมาตรการและแผนการบริการจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อให้มั่นใจว่า ประเทศไทยจะไม่ตกอยู่ในสภาวะวิกฤตอุทกภัย เหมือนในปีที่ผ่านมา รวมทั้งการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนถึงศักยภาพของไทยและนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาล
กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
กระทู้ล่าสุด
รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
