มาร์คปลุกกำจัดพิษแม้ว กร้าวไม่ชนะ-ไม่เป็นรบ.

เป็นครั้งแรกของการประชุม ส.ส. พรรค "ประชาธิปัตย์" ที่ใช้เวลาประชุมนานเกือบ 9 ชั่วโมง นับแต่หลังปีใหม่ที่ผ่านมา

การประชุมครั้งนี้ เป็นไปเพื่อ "สังคายนา" ทางความคิดให้กับ "พลพรรคสีฟ้า" เพื่อถกเถียง-วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ทางการเมือง

ตามธรรมเนียมปฏิบัติของพรรคเก่าแก่ ในทุกวันอังคาร จะมีถกเถียงกันทุกสัปดาห์ แต่เข้มข้นกว่าทุกครั้ง เพราะเที่ยวนี้เปิดโอกาสให้ทุกเสียงลุกขึ้นสะท้อนความคิดกันอย่างเต็มที่ ไม่ได้ผูกขาดลำพัง "ตัวใหญ่" ในพรรคเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

แน่นอนด้วยธรรมชาติแบบ "ประชาธิปัตย์" ในที่ประชุมจึงซัดกันแหลก หลายคนได้ระบายความอัดอั้นภายในใจ ตลอดจนเกิดเป็นมิติการมองสถานการณ์ทางการเมืองในมุมที่กว้างขึ้น

โดยสรุป ข้อมูลการร่วม "สังเคราะห์" ของค่ายแม่พระธรณี ประเมินตรงกันว่า สถานการณ์ต่อจากนี้ จะเดินหน้าเข้าสู่เกลียวความขัดแย้งมากขึ้น และ "ประชาธิปัตย์" ในฐานะ "ฝ่ายค้าน" ในสภา จะต้องทำหน้าที่และวางตัวอย่างไร

จากการถอดบริบททางการเมืองของฝ่าย "รัฐบาล" "พรรคเพื่อไทย" และ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี แบ่งได้ดังนี้

1.เคลื่อนไหวแบบแบ่งบทบาท เคลื่อนหลายหน้า สะท้อนผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะประเด็นกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ "รัฐบาล" และ "พรรคเพื่อไทย" ออกมาปฏิเสธ แต่ทว่าเครือข่าย "กลุ่มเสื้อแดง" และ "คณะนิติราษฎร์" กลับขับเคลื่อนหนักหน่วงรุนแรง

2.การแก้ปัญหา ตอบแทนเพียงบางกลุ่ม ไม่ใช่คนไทยส่วนใหญ่

และ 3.การดำเนินการหลากหลายวิธีการ เพื่อประโยชน์กับ "พ.ต.ท.ทักษิณ" และเครือข่ายซึ่งได้รับการปูนบำเหน็จเป็นระยะ

อย่างไรก็ตาม แม้จะเห็นอยู่ตำตา แต่ผู้ใหญ่ในประชาธิปัตย์หลายคน ได้ออกโรงเตือนอย่าออกตัวค้านหรือปะทะแบบสุดลิ่มทิ่มประตู โดยต่อไปต้องระวัง เพราะอีกฝ่ายมักใช้วิธีการตามถนัด คือ "โยนหินถามทาง" "ชักเข้าชักออก" จุดประเด็นขึ้นมาเพื่อหยั่งกระแส เมื่อเห็นท่าไม่ดีก็ม้วนเสื่อกลับ

หาก "ประชาธิปัตย์" โพล่งออกตัวไปมากเกิน จะหันหลังกลับไม่ทันและเสียรังวัด จึงให้เลือกเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์ของคนส่วนใหญ่

โดยเน้นการทำหน้าที่ทวงถามภาระหน้าที่โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาล ที่ได้สัญญาไว้เองกับประชาชนแต่ไม่ทำ หรือทวงถามการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าเร่งด่วน

ประเมินว่าปี 2555 นี้ ปัญหาค่าครองชีพที่ไม่สัมพันธ์กับรายได้ จะทวีความรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาพลังงานทุกชนิดที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่รายได้ทั้งเรื่องเงินเดือน 15,000 บาท และค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน ยังไม่กระดิก มิหนำซ้ำรัฐบาลกลับไปแก้ปัญหาให้กับคนมีอันจะกินก่อนอย่างการลดภาษีนิติบุคคล รวมถึงโครงการประชานิยมโดยไม่ดูความผันแปรทางเศรษฐกิจ เช่น รถคันแรก บ้านหลังแรก

โดยเฉพาะปฏิบัติการที่สุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจชาติในหลายกรณี อาทิ การออก พ.ร.ก. 4 ฉบับ ซึ่งมองว่ามีจุดประสงค์ในการ "ล้วง" เม็ดเงินที่ล้วงได้จากทุกทิศทุกทาง โดยไม่แยแสต่อผลกระทบเพียงเพื่อได้ปรับลดเพดานหนี้สาธารณะจากที่มีอยู่ร้อยละ 40 ลงมา เพื่อการมีเครดิตกู้เงินได้เพิ่มนำมาอัดลงโครงการประชานิยมกระพือคะแนนนิยมทางการเมือง

ผ่านเสนอขายหุ้นบางส่วนของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อหวังลดหนี้สาธารณะสะสมที่หมกอยู่ในรัฐวิสาหกิจ

ซึ่ง "ประชาธิปัตย์" ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ต้องตามไล่ให้ทัน เพราะเชื่อว่าจะมีวิธีการใหม่ๆ ออกมาอีก

"ตอนนี้รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว ดังนั้น สิ่งที่ประชาธิปัตย์จะต้องทำให้ได้คือ การดึงรัฐบาลให้กลับมาแก้ปัญหาประชาชนให้ได้ แต่มันก็เป็นเรื่องยากในการกำจัดพิษระบอบทักษิณ ดังนั้น การล้างพิษระบอบทักษิณ มีหนทางเดียว คือ ประชาธิปัตย์ต้องชนะการเลือกตั้งเท่านั้น"

"และหากเราไม่ชนะ ผมจะไม่จัดตั้งรัฐบาลอีก หากจะมีการจัดตั้งรัฐบาลแต่เราไม่ชนะการเลือกตั้ง ผมก็ไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ และควรไปเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่แทนผม"

เป็นไฮไลต์คำพูดของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่หลายคนจับความได้ สอดรับกับก่อนหน้าที่ในการเดินสายลงพื้นที่อุบลราชธานี ตามยุทธศาสตร์การทำพื้นที่รายภาค "อภิสิทธิ์" ออกตัวยืนยันกับแกนนำสำคัญของพรรค พร้อมไปในทุกพื้นที่และระดมทุกสรรพกำลังเพื่อวางฐานของพรรค

แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่ไปอย่างสะเปะสะปะ และไปอย่างหวังผลได้

ทั้งหมดเป็นการ "เขย่า" เพื่อ "ปลุกขวัญ" คนกันเองอีกครั้ง แต่จะไปถึงฝั่งฝันหรือไม่ เพราะหนทางอีกยาวไกล

แต่ที่น่าสนใจคือ ความในใจของ "อภิสิทธิ์" ที่สะท้อนผ่านจุดยืนในการไม่ตั้งรัฐบาลแข่งหากไม่ชนะเลือกตั้งเสียงอันดับ 1 ซึ่งไม่ง่าย

หรือเพราะในใจผู้นำ "พรรคสีฟ้า" รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ด้วยมีประสบการณ์มาแล้วรอบหนึ่ง...