ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานงานวันสถาปนากรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์(ร.11 รอ.) ครบรอบ 110 ปี ถึงการปรับ ครม.ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ ว่า ทหารมีหน้าที่อย่างเดียวคือเชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด ดังนั้นไม่ว่าการจะปรับอะไรคงเป็นเรื่องของรัฐบาล ในการดูความเหมาะสม ตนคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะท่านเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาระดับสูงในกองทัพ และประการที่ 2 คือ ท่านเป็นรุ่นพี่จบจากโรงเรียนเตรียมทหารด้วยกัน คิดว่าเราพูดคุยกันได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว ไม่มีข้อขัดแย้ง และข้อสำคัญคงขัดแย้งกันไม่ได้ เพราะเราเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาท่านพล.อ.อ.สุกำพล ให้สัมภาษณ์อยู่แล้วว่า ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้ชาติบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าให้ได้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คงไม่สะดุด ส่วนที่มีหลายคนเกรงว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ อาจเข้ามาปรับเปลี่ยนนโยบายนั้น คงไม่มี แต่คำว่านโยบาย คือ ทุกคนมุ่งหวังให้กองทัพแข็งแรง โดยหมายถึงการอยู่ในระเบียบวินัย และมีสมรรถนะในการทำหน้าที่ในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามในรูปแบบเดิมในการป้องกันประเทศ และช่วยเหลือสนับสนุนกับหน่วยงานอื่น ๆ ในภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ตนคิดว่านโยบายไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ว่าใครจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็มุ่งหวังให้กองทัพเป็นกลไกของรัฐบาลในการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่ จะเข้ามาปรับเปลี่ยน พรบ.กลาโหมนั้น ตนไม่ทราบ เป็นเรื่องของท่าน อะไรที่อยู่ในกรอบอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตนไม่บังอาจไปวิจารณ์ได้ เป็นเรื่องของท่าน
ไม่เห็นต้องถาม และไม่เคยถามอยู่แล้ว ไม่เคยมีใครถามมา ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องมาถามกองทัพว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็มีการพิจารณากันเป็นตามลำดับ เหมือนกับกองทัพที่มีการพิจารณาจากผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น เวลาตนจะแต่งตั้งผู้บังคับบังคับบัญชาตามลำดับชั้นจะมีการกลั่นกรองขึ้นมา กลั่นกรองแล้วตนก็ไม่ต้องไปถามใคร เป็นเรื่องของคณะกรรมการที่ได้มีการตั้งขึ้นมา และปรับย้ายตามที่หน่วยได้เสนอมาได้เลย