"อภิสิทธิ์"ชี้ไม่เห็นรบ.ออกนโยบายลดเก็บเงินเข้ากองทุนสปส.ลากยาว 1 ปี แนะควรเป็นระยะสั้น หวั่นส่งผลกระทบให้กองทุนฯในอนาคต
วันนี้(20ธ.ค.)นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการฟ้าวันใหม่ ทาง Blue Sky Channel กล่าวถึงมติครม.วานนี้(19ธ.ค.)ที่ให้ความเห็นชอบเรื่องการลดเก็บเงินสมทบส่งเข้ากองทุนประกันสังคม ว่า รู้สึกเสียดายว่า เราเคยเสนอกฎหมายไว้ แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ดำเนินการต่อ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะทำให้สามารถประกาศลดการเก็บเงินสมทบในพื้นที่ภัยพิบัติ ทำให้เรื่องนี้ต้องทำทั้งประเทศ เพราะกฎหมายไม่ได้แก้ ดังนั้นจึงขอให้ข้อสังเกต 3 เรื่องนี้คือ1. การที่มาตรการนี้จะมีการใช้ยาวไปจนถึงสิ้นปีหน้านั้น เป็นมาตรการที่ยาวเกินไปหรือไม่ เพราะสถานะการเงินของกองทุนประกันสังคมนั้น บางเรื่อง หรือบางช่วง อาจจะดูเหมือนมีเงินมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าสถานะนี้จะมั่นคงตลอดไป ซึ่งมาตรการนี้น่าจะเริ่มจาก 6 เดือนก่อน แล้วดูอีกทีว่าสมควรจะต่อเวลาหรือไม่อย่างไร
2. ในการประกาศอัตราตามที่เสนอครม. นั้น รัฐบาลต้องอธิบายว่าได้ทำเรื่องอื่นด้วย คือ การลดเงินสมทบของรัฐบาลในกรณีเจ็บป่วย ทุพลภาพ และคลอดบุตร แต่ตนดูแล้วเหมือนกับจะเพิ่มในส่วนของชราภาพด้วย ซึ่งเดาว่ากองทุนในส่วนชราภาพนั้นมีสถานะการเงินซึ่งต้องดูแลมากขึ้น แต่เอามาประกาศปะปนกับเรื่องน้ำท่วม ทำให้เป็นมาตรการ 1 ปี แล้วจะกลับไปเหมือนเดิม จะทำให้สับสนว่าพยายามจะทำอะไร
และ3. กรณีการสมทบเพื่อจ่ายทดแทนกรณีว่างงาน แต่รัฐบาลกลับถือโอกาสไม่จ่ายสมทบนั้น ตนเห็นว่าในอดีตเวลาเกิดปัญหาวิกฤติ เมื่อมีการลดภาระของนายจ้าง ลูกจ้าง แต่รัฐบาลยังจ่ายเงินสมทบอยู่ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไม่จ่าย ซึ่งในการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม จะประกอบด้วย นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาลร่วมกันลงขันในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน แต่กรณีเกิดวิกฤติขึ้น นายจ้าง ลูกจ้าง อาจยังไม่ต้องจ่ายสมทบดังกล่าว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลขอไม่จ่ายสมทบด้วย
“ ผมเข้าใจว่ารัฐบาลงดของตัวเองเรื่องเจ็บป่วย แต่ไปใส่ในเรื่องของชราภาพแทน ก็เข้าใจว่าคงทดแทนกัน แต่กรณีว่างงาน รัฐบาลหยุดจ่ายเฉยๆ เลย ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวจากคำถามถึงแนวคิดในอดีตที่ผ่านมาว่าจะหลอมรวม 3 กองทุนที่ดูแลประชาชน ประกอบด้วยกองทุนดูแลสุขภาพของระบบราชการ
หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และระบบประกันสังคม แต่กลับไม่เกิดขึ้นนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีแนวคิดว่าจะหลอมรวมทุกกองทุน เพราะเห็นว่าการที่กองทุนหลายกองทุนมีการแข่งขันกันก็เกิดประโยชน์ เพียงแต่แนวคิดคือจะทำอย่างไรให้ทุกคนมีสิทธิขั้นพื้นฐานเท่าเทียมกัน และบางเรื่องจะสามารถเชื่อมโยงอาศัยการแลกเปลี่ยนข้อมูล ทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแล้ว และกำลังเริ่มต้นทำงาน คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะได้ข้อยุติในเรื่องนี้