จากการที่ประเทศไทยตกอันดับดัชนีคอร์รัปชั่นระดับโลกจาก 78 ในปี 2553 เป็น 80 ในปี 2554 โดยได้คะแนน 3.4 เต็ม 10 โดยการจัดของ องค์การเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ นั้น นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า
ลำดับของประเทศไทยหลังการบริหารงานของนายอภิสิทธิ์ ตกต่ำลงกว่ายุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างมาก แม้รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จะถูกใส่ร้ายว่ามีการทุจริตและอ้างเป็นเหตุหนึ่งในการยึดอำนาจก็ตาม แต่ในปี 2549 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ พ.ต.ท.ทักษิณบริหาร ก่อนมีการยึดอำนาจ ลำดับของประเทศไทยอยู่ที่ 63 โดยได้คะแนนนที่ 3.6 แต่เมื่อมีรัฐบาลคมช.และบริหารประเทศไปเกือบ 1 ปี ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเรื่องคอร์รัปชั่นตกต่ำลงอย่างมากมาย จนลำดับรูดลงมาที่ 84 ได้คะแนนที่ 3.3 ในปี 2550 ทำให้เห็นว่าในยุครัฐบาลทหาร ประเทศไทยตกลำดับมาถึง 21 ลำดับ จนกระทั่งมีรัฐบาลพรรคพลังประชาชนของนายกฯสมัครและสมชาย ที่ได้กระชากดัชนีลงมาอยู่ที่ลำดับ 80 ในปี 2551 ทำให้สถานะและภาพลักษณ์ของประเทศดีขึ้น 4 ลำดับ
อย่างไรก็ตามในปีแรกที่นายอภิสิทธิ์บริหารประเทศครบปี ลำดับการทุจริตของประเทศไทยพุ่งกลับไปสู่ในลำดับที่แย่อย่างเดิม เท่ากับยุค คมช. โดยประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 84 ในปี 2552 แม้ว่าจะดีขึ้นในปี 2553 แต่ในปี 2554 ก็สูงขั้นสองลำดับอยู่ในลำดับที่ 80 ซึ่งจะโทษรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็คงทำได้ไม่เต็มปากนักเพราะเพิ่งเข้ามาบริหารประเทศและการปล้นครั้งใหญ่ที่พบเงินจำนวนมากที่ดังไปทั่วประเทศก็เป็นตัวบ่งชี้ ว่าการบริหารงานของรัฐบาลที่ผ่านมาเป็นอย่างไร
นายนพดล กล่าวต่อว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ประกาศสงครามกับการทุจริตคอร์รัปชั่น และตนเชื่อว่าท่านจะทำให้ประเทศไทยมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น ซึ่งรอดูว่าการจัดลำดับขององค์กรเดียวกันในปลายปี 2555 ผลจะออกมาอย่างไร แต่ที่สำคัญที่สุดจะต้องไม่ไปทำลายสถิติลำดับที่แย่ที่สุดของประเทศที่เกิดขึ้นในยุคของรัฐบาล คมช.และรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งอยู่ในลำดับแย่ที่สุดเท่ากัน