เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่อิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
แถลงข่าวประจำสัปดาห์ โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.กล่าวถึงกรณีที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเสียงข้างมาก 4 ต่อ 1 เสียง ให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ พ้นสภาพความเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เนื่องจากขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองมาตรา 20(3) ซึ่งส่งผลให้สมาชิกภาพของความเป็นสมาชิกสิ้นสุดลงตามมาตรา 106(4) และ (5) จากกรณีที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพราะอยู่ในระหว่างถูกคุมขังว่า เรื่องที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งนั้น ในระหว่างการถูกควบคุมตัวถูกคุมขังเพราะถูกถอนประกัน ตนได้แสดงเจตนาไปยังศาลว่าต้องการจะขอประกันตัวไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยได้อ้างคำสัมภาษณ์ของนางสดศรี สัตยธรรม หนึ่งใน กกต.ว่า ถ้าไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจะทำให้ขาดคุณสมบัติของการเป็น ส.ส. ซึ่งได้แนบใบคำร้องเพื่อขออนุญาตไปใช้สิทธิและจะกลับมาถูกคุมขังต่อ โดยศาลได้ให้เหตุผลในเวลานั้นว่า กรณีของนางสดศรีเป็นเพียงแค่การให้ความเห็นเท่านั้น
นายจตุพรกล่าวต่ออีกว่า ก่อนหน้านี้มีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาหลายชุดและทุกชุดก็ยกคำร้องว่าตนไม่ขาดคุณสมบัติ
แต่ กกต.ชุดใหญ่ที่นำโดยนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาทั้งที่มีเรื่องของ ส.ส.คนอื่นที่ถูกร้องเรียนเรื่องทุจริตมากมาย ฉะนั้นเมื่อ กกต.มีมติเช่นนี้โดยอะไรก็ตาม ตนเชื่อว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติว่าการที่พุ่งเป้ามาใส่ตนนั้นมีเป้าหมายมากกว่านี้หรือไม่ เพราะขั้นตอนหลังจากนี้จะส่งต่อไปยังสภาผู้แทนราษฎร นักวิเคราะห์บางส่วนบอกว่าจะให้ประธานสภาดึงเรื่องเอาไว้แต่ตนบอกไปยังประธานสภาคือคุณสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ว่าไม่ต้องดึงเพื่อจะช่วยตน ให้เรื่องส่งไปถึงศาลรัฐธรรมนูญเลย ศาล รธน.จะดูแล้วตัดสินหรือวินิจฉัยเลยก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะตนรู้คำตอบของตนอยู่แล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร คำถามต่อไปก็คือว่าแล้วเขาคิดอะไรต่อว่าจะเดินเรื่องยุบพรรคเพื่อไทยต่อไหม หรือจะกดดันให้พวกตนออกมาเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง เพราะเรื่องนี้เป็นปมประเด็นทางการเมือง เมื่อวาน (29 พ.ย.) หลังจากที่ กกต.มีมติก็บอกตัวเองว่าไม่โกรธ ซึ่งวันนี้หน้าที่ของ กกต.จบแล้ว ต่อไปเป็นเรื่องของประธานสภา