วันนี้ (25 พ.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคณะได้มอบเครื่องใช้จำเป็นในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยให้กับกองทัพบก ประกอบด้วยเสื้อชูชีพ ชุดกันน้ำ ชุดตรวจกระแสไฟฟ้า
โดยมี พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รองเสนาธิการทหารบก ( 2 ) และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก มารับมอบ เพื่อนำไปกระจายให้กับกำลังพลในการดูแลผู้ประสบอุทกภัยต่อไป
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึง การบริหารจัดการปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลที่ยังมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างประชาชนในเขตปริมณฑลและกทม. ว่าการที่รมว.มหาดไทยเชิญผู้ว่าฯทั้ง 6 จังหวัดมาหารือ เพื่อแก้ปัญหายังไม่เพียงพอ แต่ต้องร่วมกันลงพื้นที่เพื่อกำหนดแผนในการระบายน้ำที่ชัดเจนอธิบายให้กับประชาชน ว่าจะใช้เวลาในการระบายน้ำเท่าไหร่ รวมทั้งแลกเปลี่ยนความเห็นกับประชาชนว่าจะวิธีการใดระบายน้ำให้เร็วขึ้น และจะมีผลกระทบอยางไร ซึ่งต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นความขัดแย้งจะยังเกิดขึ้นต่อไป ไม่ใช่ประชุมครั้งเดียวแล้วจบ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเกรงว่าหากประชุมแล้วยุติ ภาพก็จะกลับไปเหมือนเหตุการณ์ 2 – 3 วัน ที่ผ่านมา คือ อารมณ์ความรู้สึกของคนในแต่ละพื้นที่ ต้องการคำตอบ การสรุปแต่ภาพรวมไม่สามารถสร้างความมั่นใจในพื้นที่ได้ โดยเห็นว่านายกฯต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ โดยสรุปและสั่งการให้ชัดเจนเพราะเป็นผู้ใช้อำนาจตามมาตรา 31 ของพ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ไม่ใช่โยนปัญหาให้ท้องถิ้นจัดการเหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ตนรู้สึกแปลกใจที่นายกฯทำเหมือนกับไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับงานด้านน้ำท่วมโดยตรง โดยเฉพาะในจุดที่เป็นปัญหา
“คำสัมภาษณ์ก็แปลกๆ เช่น ให้ผู้ว่ากทม.มาร่วมรับผิดชอบ ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเรื่องนโยบายรัฐบาลจะต้องกำหนดยุทธศาสตร์การระบายน้ำ ผมเป็นห่วงว่ารัฐบาลกำลังโยนภาระให้ท้องถิ่นไปแก้ปัญหากันเอง ซึ่งศปภ.ต้องตัดสินใจให้ข้อมูลกับประชาชนทั้งหมด ทั้งเรื่องการรื้อบิ๊กแบ็กด้วย ผมเคยย้ำหลายครั้งว่าศปภ.ต้องประเมินผลของการใช่บิ๊กแบ็กว่า ได้ผลอย่างไร มีผลกระทบอย่างไร สามารถเปิดได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อจะได้ชี้แจงกับประชาชนแต่รัฐบาลก็ไม่ทำ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ต่อข้อถามว่า นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เลขานุการคณะทำงานบริหารจัดการระบายน้ำในพื้นที่สาธารณภัยร้ายแรง ของศปภ. ออกมายอมรับว่าสามารถที่น้ำท่วมมากเพราะการบริหารที่ผิดพลาดและจะเกิดปัญหาน้ำท่วมหนักอีกใน5 ปีข้างหน้าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่พรรคจะชี้ให้ประชาชนเห็นในการอภิรายไม่ไว้วางใจในอาทิตย์นี้และอยากให้รัฐบาลเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เพราะในปัจจุบันมีความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศ แต่การบริหารจัดการก็ต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลงหลังจากที่ได้เรียนรู้ความผิดพลาด เพื่อให้ชาวโลกเข้าใจว่าบางเรื่องควบคุมไม่ได้ แต่เรื่องที่รัฐบาลควบคุมได้จะต้องปรับปรุงไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีก การหนีความจริงไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตนขอแนะนำกับประชาชนที่กำลังกลับบ้านหลังน้ำลดว่า ให้อ่านข้อมูลที่มีการจัดทำขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับชีวิตทั้งเรื่องกระแสไฟฟ้า ผลกระทบกับโครงสร้างบ้าน ด้านการสาธารณสุข และสัตว์ร้าย ซึ่งรัฐบาลก็ต้องรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจด้วย ทั้งนี้ยังเห็นว่ารัฐบาลควรจะเพิ่มเงินชดเชยให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัย เพราะชีวิตของประชาชนในช่วง2 เดือนที่ผ่านมากับเงิน5 พันบาทที่รัฐบาลจัดให้เหมาะสมหรือยัง รัฐบาลต้องพิจารณา เพราะยอมที่จะใช้เงินจำนวนมากให้คนซื้อรถคันแรก และบ้านหลังแรก แต่กลับไม่พร้อมที่จะช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับความสูญเสีย บางคนเก็บเงินมาทั้งชีวิตในการซื้อบ้านหลังหนึ่ง ดังนั้นรัฐบาลช่วยเหลืออะไรได้ก็ต้องช่วยเพื่อให้ประชาชนได้กลับไปใช้ชีวิตใจบ้านของตนเอง โดยต้องมีทีมฟื้นฟูเพื่อจะประเมินว่ามีอะไรที่รัฐบาลจะช่วยเหลือเพิ่มเติมนอกจากกฎเกณฑ์เดิม เพราะกฎเกณฑ์ ดังกล่าวเพียงแค่บรรเทาความเดือดร้อนชั่วคราวเท่านั้น
“ผมเห็นว่าการที่รัฐบาลอ้างว่า การชดเชยเยียวยาไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลที่ผ่านมานั้นความจริงขณะที่ผมเป็นนายกฯมีการกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่เพื่อช่วยเหลือประชาชนและสถานการณ์วันนี้เมื่อเทียบกับช่วงที่ผมเป็นรัฐบาลก็แตกต่างกัน จะท่องคาถาแค่ว่าทำเหมือนกับที่เคยทำมาไม่ได้ และอยากให้รัฐบาลเอาใจใสปัญหาในภาคใต้ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ด้วย เพราะมีความเสี่ยงในเรื่องดินถล่ม อยากจะบอกว่า ศปภ.ยังต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เป็นห่วงเพราะทั้งนายกฯและ ศปภ.มักมองข้ามปัญหาไปเรื่องอื่น ทั้งที่ยังมีสถานการณ์ที่ต้องบริหารอยู่ตลอดเวลา โดยอยากให้รัฐบาลเข้าใจว่าหลังน้ำลดจะเกิดปัญหาอีกแบบคือประชาชน จะพยายามกลับไปใช้ชีวิตแต่จะมีอุปสรรค์มากมายทั้งเรื่องการทำมาหากินและการอยู่อาศัย เป็นปัญหาใหม่ที่รัฐบาลต้องเตรียมรับมือ สำหรับผมก็จะลงพื้นที่ต่อเนื่อง โดยในส่วนภาคใต้ส.ส.ของพรรคก็ลงไปดูแลแล้วและจะติดตามอย่างใกล้ชิดว่ามีพื้นที่ไหนต้องไปดูแลเป็นพิเศษหรือไม่”นายอภิสิทธิ์กล่าว