กรณ์ติงรบ.ปูกู้เงินมากกว่ารบ.มาร์ค

ผู้สื่อข่าวรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555
 
ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเวลา 17.30 น.วันที่ 9 พฤศจิกายน  นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อภิปรายว่า ที่นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้กล่าวพาดพิงรัฐบาลในอดีตว่าได้จัดตั้งงบประมาณขึ้นมาโดยใช้เม็ดเงินงบประมาณในการเข่นฆ่าประชาชน ตนไม่อยากอภิปรายประเด็นนี้ แต่เมื่อนายสุชาติพูดก็ผ่านไม่ได้ คำพูดนี้ไม่เหมาะสม และถ้าพวกเรามีทัศนคติที่ดีกว่านี้ เม็ดเงินงบประมาณที่นำไปสู่ความปรองดองในสังคมไม่จำเป็นต้องใช้ และหมดเวลาแล้วที่เราจะเอาประเด็นเหล่านี้มากล่าวหากัน หรือปลุกปั่นประชาชน

นายกรณ์กล่าวว่า ในส่วนงบประมาณประจำปี 2555 งบนี้เป็นงบขาดดุลถึง 4 แสนล้านบาท การขาดดุลเพราะมีความจำเป็นต้องกู้เงิน

และประชาชนมีความสับสนที่ฟังการบริหารเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยที่คัดค้านการกู้ยืม พรรคเพื่อไทยได้คัดค้านการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลชุดก่อนโดยไม่มีเหตุจำเป็นต้องกู้เงิน และวันนี้สิ่งที่รัฐบาลต้องทำให้ประชาชนเข้าใจว่าทำไมตัวเองเป็นรัฐบาลแล้วทำไมต้องกู้ยืมเงินในปริมาณเม็ดเงินมากกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กำหนดกรอบไว้ เพราะงบประมาณปี 2555 กรอบแรกเป็นกรอบที่ดำเนินการโดยรัฐบาลที่แล้วได้กำหนดว่าเป็นงบขาดดุล 3.5 แสนล้านบาท และขาดดุลน้อยกว่าที่รัฐบาลนี้กำหนดไว้ถึง 5 หมื่นล้านบาท และงบประมาณปี 2554 ที่เพิ่งผ่านไปที่รัฐบาลที่แล้วดูแลมีรายได้การจัดเก็บดีขึ้น สืบเนื่องเศรษฐกิจที่ดีขึ้นทำให้งบประมาณปี 2554 เกือบเป็นงบสมดุล

นายกรณ์กล่าวว่า ตนมีข้อเสนอแนะ 5 ข้อ

1.การลดภาษีนิติบุคคลขอให้รัฐบาลยุตินโยบายนี้และกลับไปเจรจากับผู้ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายขอเวลาอีก 1 ปี จะกลับมาลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ถ้าทำเช่นนี้จะมีรายได้กลับคืนมา 1 แสนล้านบาท โดยจัดงบส่วนนี้เพื่อให้กู้ยืมเงินน้อยลง อีกส่วนตั้งกองทุนช่วยผู้ประกอบการขนาดเล็กที่สำลักน้ำตายอยู่ 2.ขอให้ยกเลิกนโยบายบ้านหลังแรก รถยนต์คันแรก 3.ขอให้รัฐบาลโปร่งใสในการจัดสรรงบประมาณอย่าเอาหนี้ไปซุกที่อื่น 4.ในส่วนงบฟื้นฟู 1.2 แสนล้านบาท ขอให้ช่วงประชุม กมธ.ให้หน่วยงานที่ต้องการใช้เม็ดเงินจัดสรรมาให้ชัดเจน และ 5.รัฐบาลต้องกำหนดแผนการบริหารจัดการเรื่องของการบริหารด้านการคลังประเทศให้ชัดเจนให้ประชาชนนักลงทุนมองเห็นภาพใน 2-3 ปีการบริหารจัดการการใช้เงินทุนของประเทศ