โดย ฐิติมา ฉายแสง
การวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีนั้น จริงอยู่ย่อมทำได้ เพราะเป็นตำแหน่งสาธารณะ จะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของนายกรัฐมนตรี หรือการบริหารงานของรัฐบาลก็ได้ เพราะคนเราย่อมมีความคิดต่าง (เข้าใจด้วยว่า หากไม่ใช่พวกเดียวกันแล้ว บางคนถึงกับมีอคติ ฝ่ายตรงข้ามทำอะไรก็จะดูรกหูรกตาไปหมด ผิดไปทั้งนั้น) เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ในทางสาธารณะด้วยตรรกะแห่งเหตุและผล ทุกคนในสังคมรับได้ ตัวผู้ที่ถูกวิจารณ์เองก็เข้าใจได้เช่นกัน
แต่คนที่วิพากษ์วิจารณ์นั้นควรทำอย่างมีมารยาท ไม่ว่าเนื้อหาสาระจะผิดพลาดหรือถูกต้อง หากวิจารณ์คนอื่นด้วยถ้อยคำที่หมิ่นแคลน เหยียดหยามความเป็นมนุษย์ ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ซ้ำร้ายวิจารณ์คนอื่นด้วยเรื่องที่ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อยนั้นจึงถือเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
กรณีที่นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ได้โพสต์ข้อความนั้น ส่อให้เห็นว่า เป็นคนประเภทไหน วุฒิภาวะสูงหรือต่ำเพียงใด มีคุณค่าสมควรที่สังคม สาธารณชน บุคคลทั่วไป จะรับฟังและเชื่อในสิ่งที่เขาวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่
หลังจากนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร มารับตำแหน่งนั้น ท่านทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แทบไม่เคยได้พักผ่อนเต็มที่สักวัน เพราะต้องมาแบกรับปัญหาอุทกภัยอันหนักหน่วงที่ก่อตัวมาก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะมาบริหารประเทศเสียอีก คนที่เคยดูถูกสตรีเพศมาตลอดล้วนแล้วแต่ต้องเปลี่ยนความคิดกันไปไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้ว เพราะท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่เคยแสดงออกให้เห็นถึงความอ่อนแอ แต่ตรงกันข้ามกลับแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ มีความอดทน อดกลั้น เฉียบขาด เอาจริงเอาจังกับภาระหน้าที่ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคหรือปัญหา
และที่สำคัญไม่เคยเอ่ยปากตอบโต้โยนความผิดให้ใคร แม้จะรับทราบข้อมูลว่าบางเรื่องเกิดจากความผิดพลาดของรัฐบาลชุดที่แล้วก็ตาม
สิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้รับ คือถ้อยคำที่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างหยาบคายจากผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ เอกยุทธ อัญชันบุตร ที่ครั้งหนึ่งใครๆ ก็รู้จักเขาในนามว่า "เจ้าพ่อแชร์ชาเตอร์" ที่ทำให้หลายคนต้องสิ้นเนื้อประดาตัว
การมุ่งทำลายนายกรัฐมนตรีผู้หญิงด้วยมุสาวาจา แต่ได้แฝงทรรศนะความคิดที่หมิ่นแคลนเหยียดหยามผู้หญิงไทยอย่างรุนแรง หากผู้หญิงไทยทุกคนจะต้องต่อสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีกับการกดขี่ทางเพศครั้งนี้ จึงเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการเตือนสติ อย่าให้ใครมาทำลายเกียรติภูมิของหญิงไทยอีกต่อไป ด้วยการประณามและต่อต้าน ร่วมมือกันให้ทรรศนะกดขี่ทางเพศหมดไปจากสังคมไทย
ถ้อยคำอันไร้วุฒิภาวะนั้น ด้านหนึ่งต้องการสร้างกระแสความเกลียดชังทางการเมืองต่อนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประวัติศาสตร์ไทยที่อาสาตัวมาทำงานการเมือง (และได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนอย่างท่วมท้น) ที่ได้แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็ง เก่งและแกร่ง เสมอผู้นำคนอื่น และถูกยกย่องจากต่างประเทศถึงความมุ่งมั่นในการนำพาประเทศให้พ้นวิกฤต อีกด้านหนึ่งได้ดูหมิ่นทำร้ายหญิงไทยและทำลายสังคมไทยอันงดงาม
ถ้อยคำของนายเอกยุทธคงไม่เพียงแค่หวังผลทางการเมืองแบบไร้สติ แต่ที่ได้ผลอยู่บ้าง นั่นคือ ได้สร้างความเกลียดชัง ความขัดแย้งของสังคมที่กว้างขวางขึ้น เป็นสังคมที่ไม่มีเหตุผล...หนักหนาสาหัสเข้าไปทุกที
หากผู้ชายคนนี้ทำเพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเผื่อว่าพรรคพวกตนเองจะได้รับประโยชน์ จะเห็นได้ว่าเป็นความคิดที่ผิดพลาด ล้าหลังอย่างมาก การตะโกนกล่าวหาผู้อื่นแบบในโรงหนังสมัยก่อน ไม่ได้ผลอีกแล้ว
การเมืองไทยได้พัฒนามาไกลมากแล้ว กลยุทธ์ทางการเมืองแบบเก่า ใช้วิธีการปัดแข้งปัดขา ใช้กลเม็ดทุกรูปแบบอย่างไร้สติ มือไม่พาย แต่เอาปากมาราน้ำนั้น สังคมและประชาชนเบื่อหน่ายเต็มทน
โดยเฉพาะถ้อยคำที่มาจากความคิดที่สกปรกโสมม รังแต่จะทำร้ายตัวเองและทำลายความดีงามของสังคม
หน้า 6,มติชนรายวัน ฉบับวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2554