กองทัพประเมิน "ยิ่งลักษณ์" สอบตกแก้น้ำท่วม แจงละเอียด 12 เหตุผล"ขาดภาวะผู้นำ-สั่งใครไม่ได้-การเมืองครอบ-ปกปิกข้อมูลประชาชน"
ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นทั้งภาคเหนือ อีสาน กลาง และกรุงเทพมหานคร(กทม.) ส่งผลต่อการตั้งคำถามถึงความรู้สามารถในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล โดยเฉพาะภาวะความเป็นผู้นำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งล่าสุดก็มีการประเมินกันในแวดวงกองทัพด้วย
แหล่งข่าวระดับสูงจากกองทัพ เปิดเผยเมื่อวานนี้ (6 พ.ย.) ว่า ภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี คนที่ 28 ของไทย ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือและถกเถียงกันในระหว่างการประชุมนายทหารระดับสูงของกองทัพ โดยเห็นตรงกันว่า นายกฯ ขาดความเด็ดขาดและกล้าตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในครั้งนี้ ส่งผลให้มวลน้ำมหาศาลถาโถมเข้าสู่กทม. และนำพาให้ประเทศเข้าสู่ภาวะวิกฤติอย่างหนัก
ทั้งนี้ แหล่งข่าวระดับสูงจากกองทัพ ได้สรุปข้อผิดพลาดของนายกฯ ในการบริหารจัดการน้ำท่วม มีทั้งหมด 12 ข้อ ประกอบด้วย
1.ขาดประสบการณ์ในการบริหารราชการ และไม่เข้าใจในการใช้เครื่องมือทางฝ่ายบริหารที่มีอยู่ ทั้งในส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น
2.เลือกใช้กฎหมายที่มีอยู่ไม่ถูกต้องต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งเป็นกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย ต้องให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้บริหารจัดการ ขณะที่รัฐบาลเองไม่กล้าที่จะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมสถานการณ์ตั้งแต่ต้น
3.เรื่องกำหนดตัวบุคคล หรือจัดองค์กรในการเข้ามาดูแลศูนย์ปฎิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ใช้คนไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องน้ำเข้ามาแก้ไข โดยเฉพาะ ผอ.ศปภ. แทนที่จะเป็นกระทรวงมหาดไทย แต่เป็นกระทรวงยุติธรรม
4.บทบาทของฝ่ายการเมืองมีลักษณะเป็นการทำเพื่อหวังผลทางการเมือง บนความทุกข์ของประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการแจกของ โดยแจกให้เฉพาะคนกลุ่มคนเสื้อแดง หรือผู้ที่สนับสนุนรัฐบาลเป็นหลัก ทำให้เกิดความขัดแย้งของประชาชนในหลายจุด
5.ความไม่เข้าใจของนายกฯ และรัฐมนตรี และศปภ. ต่อภูมิศาสตร์ หรือภูมิสถาปัตย์ หรือกายภาพของประเทศ ว่าทิศทางเดินทางของน้ำควรเดินไปทางไหน ซึ่งไม่เข้าใจธรรมชาติของน้ำ และธรรมชาติของภูมิภาค
6.รัฐบาลไม่เลือกพื้นที่ หรือจัดระดับความสำคัญว่า รัฐบาลจะให้พื้นที่ใดเป็นพื้นที่สงวนไม่ให้เกิดความความเสียหาย แต่รัฐบาลแก้ไขปัญหาโดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมเป็นตัวตั้ง แทนที่จะเอามิติทางสังคมของประเทศไทยเป็นตัวตั้ง
7.การบริหารจัดการน้ำของนายกฯ แก้ปัญหาแบบคล้ายๆ ขายผ้าเอาหน้ารอด คือการเอาคนในพื้นที่ไปอยู่ท้ายน้ำ และเอาคนไปอยู่เส้นทางน้ำผ่านทั้งหมด จึงทำให้ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นทวีคูณ แม้แต่ ศปภ.ยังต้องอพยพและไปอยู่ท้ายน้ำเหมือนกับการอพยพประชาชน
8.รัฐบาล และ ศปภ.ปกปิดข้อมูลที่สำคัญบางอย่างกับประชาชน คือปริมาตรน้ำที่มีอยู่ พูดภาษาราชการเกินไป แทนที่จะบอกว่าขณะนี้ระดับไหนถึงไหน ขณะที่ปริมาตรน้ำเข้ามาใน กทม. แจ้งกันในเฟซบุ๊ก ทำให้ข้อมูลข่าวสารได้รับเพียงประชาชนคนชั้นกลางที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ประชาชนที่หาเช้ากินค่ำไม่เคยรับรู้เรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด
9.การเมืองระหว่างรัฐบาลกับผู้ว่าฯ กทม.ที่ใช้เวทีบริหารจัดการน้ำ มาชิงพื้นที่ทางการเมือง ส่งผลให้การบูรณาการทั้งระบบล้มเหลว
10.วิธีการของรัฐบาลที่เรียกว่าจับราชการแยกออกจากกัน ด้วยการสร้างอาณาจักรตำรวจ ขึ้นมาแข่งกับทหาร โดยมอบหมายภารกิจของทหารให้ตำรวจทำ แทนที่จะให้จับโจรผู้ร้าย
11.การสื่อสารของรัฐบาลไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนในการนำเสนอให้ประชาชนได้รับรู้ ที่ผ่านมารัฐบาลเสนอข้อมูลแบบซ้ำไปซ้ำมา
และ 12.เรื่องการขุดเจาะถนนเพื่อระบายน้ำถือว่ามีความจำเป็น แต่รัฐบาลปฏิเสธที่จะทำเรื่องดังกล่าว
นายทหารระดับสูงจากกองทัพ ยังยืนยันด้วยว่า แม้กองทัพจะมองเห็นจุดด้อย และวิจารณ์การบริหารของนายกฯ
แต่พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่ต้องกลัวว่าทหารจะออกมาปฏิวัติ เพราะในสถานการณ์แบบนี้ กองทัพต้องเลือกที่จะช่วยเหลือประชาชนก่อน และที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ออกมาย้ำหลายครั้งว่า ทหารไม่ปฏิวัติแน่นอน